สกู๊ปแนวหน้า: ‘กองทุนภาคประชาสังคม’ กลไกเพิ่ม ‘อำนาจประชาชน’

ปี2014-06-04

กว่ากึ่งศตวรรษของนโยบายพัฒนาประเทศไทยตามแบบรัฐสมัยใหม่ นับแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกเมื่อปี 2504 ที่เปลี่ยนจากสังคมเกษตรเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม เม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากหลายชาติหลั่งไหลเข้ามา พร้อมๆ กับประชาชนละทิ้งชนบทบ้านเกิด มุ่งสู่เมืองใหญ่เพื่อหาโอกาสในชีวิต

ทว่าแม้เวลาผ่านไป เศรษฐกิจไทยค่อยๆ โตขึ้นอาจจะมากบ้างน้อยบ้าง ตลอดจนเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายชนิดที่ไม่อาจจะบอกได้ว่าประเทศไทยไม่เจริญทางวัตถุ แต่ปัญหาคือยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่าไร กลายเป็นว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพชีวิตผู้คนดูเหมือนจะด้อยลง

ข้อมูลจาก ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุถึงความลักลั่นของการพัฒนาประเทศไทยไว้หลายประการ เช่น เรื่องของการศึกษา แม้เด็กไทยจะเข้าถึงการศึกษาในระดับสูงได้มากขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วกว่าร้อยละ 60 ได้อยู่ถึงชั้นมัธยมปลาย แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษากลับตกลงเรื่อยๆ หากนับจากปี 2546-2552 วิชาคณิตศาสตร์ เดิมคะแนนเฉลี่ย 34.99 ลดลงเหลือเพียง 26.05 ขณะที่วิชาวิทยาศาสตร์ เดิมคะแนนเฉลี่ย 38.07 ลดลงเหลือเพียง 29.16 เท่านั้น

หรือเรื่องใกล้ตัวกว่านั้น แต่ดูเหมือนจะถูกหลงลืมไปแล้วโดยเฉพาะสังคมชาวเมือง คือเรื่องของ “ครอบครัวอบอุ่น”กล่าวคือ จากปี 2524-2554 รายได้ต่อหัวของประชากรไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 932 แต่ก็แลกมาด้วยชีวิตครอบครัวที่ไม่พร้อมหน้า พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ต่างคนต่างไปทำงาน มีการสำรวจพบว่าครอบครัวไทยอยู่พร้อมหน้ากันลดลงเรื่อยๆ และในปี 2552 เหลือเพียงร้อยละ 61.9 เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีแนวคิดให้นำรายได้บางชนิดของรัฐ เช่น ภาษีจากอบายมุขมาจัดทำกองทุนสนับสนุนการพัฒนาสังคม ดังที่รู้จักกันดี อย่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ได้งบประมาณต่อปีจากร้อยละ 2 ของภาษีเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์และยาสูบที่เก็บได้ มาจัดทำข้อมูลและสื่อ ทางวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาวะสำหรับเผยแพร่ รวมทั้งให้การสนับสนุนภาคีต่างๆ ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมสุขภาพดีของชุมชน

เช่นเดียวกับ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) ทีวีสาธารณะช่องแรกของไทย ที่ได้งบประมาณจากภาษีบาป 2 ประเภทดังกล่าว ปีละ 2 พันล้านบาท สำหรับผลิตรายการเชิงสาระความรู้ เพื่อเข้าถึงคนทุกกลุ่มให้ได้มากที่สุดแบบที่ไม่ต้องมีโฆษณาคั่น จนได้รับการยอมรับว่าเป็น “ทางเลือกใหม่” ของวงการโทรทัศน์ไทย ทั้งนี้ในความเป็นจริงหลายรายการแม้จะมีคุณภาพ แต่ไม่อาจเกิดได้หากโทรทัศน์มีแต่ช่องที่ดำเนินการแบบธุรกิจ เพราะสินค้าต่างๆ มองว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนโฆษณากับรายการเหล่านี้

ขณะเดียวกัน ยังมีความพยายามของ เครือข่ายขับเคลื่อนกองทุนส่งเสริมการพัฒนาภาคประชาสังคม ที่ต้องการให้นำรายได้ ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล (หวยลอตเตอรี่) อบายมุข อีกอย่างที่คู่กับสังคมไทย มาเป็นกองทุนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมในทุกมิติ เพราะปัจจุบันพ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 กำหนดให้กองสลากมีหน้าที่เพียงหารายได้เข้ารัฐเป็นสำคัญ

เนื่องจากต้องยอมรับว่า ลูกค้าหลักของสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (รากหญ้า) เช่นเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ ดังนั้นควรให้รายได้นี้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มดังกล่าว จึงจะถือว่ามีความเป็นธรรม และเพื่ออุดช่องว่างของภาครัฐ ที่มักจะเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจมาก่อนเสมอด้วย ทำให้การพัฒนาสังคมไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ทั้งนี้เสนอให้แบ่งรายได้ร้อยละ 15 จากสำนักงานสลากฯ ซึ่งมีรายได้ราว 7,200 ล้านบาทต่อปี มาเป็นงบประมาณกองทุน

นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานกรรมการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวในงานเสวนา กองทุนภาคประชาสังคม : เพิ่มพลังพลเมือง สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ณ โรงแรมเอเชีย เขตราชเทวี กทม. เมื่อปลายเดือน พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ระบุว่า การสร้างระบบกองทุนภาคประชาสังคม จะช่วยให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็งขึ้น กระตุ้นให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้บริหารจัดการ และสร้างศักยภาพในการดูแลตนเองให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทรัพยากรชุมชน หรือการต่อสู้กับกลุ่มนายทุน

“ปัจจุบันประชาชนจะมีความพร้อมไม่มาก เพราะถูกระบบข้าราชการและนักการเมืองทำให้อ่อนแอมาเป็นเวลานาน จึงจำเป็นต้องอาศัยการสร้างกองทุนภาคประชาสังคม มาช่วยให้เกิดความเข้มแข็งมากขึ้น เช่น เหตุการณ์ต่อสู้กับบริษัทเหมืองแร่ของประชาชนในจังหวัดเลย ก็ถือเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ประชาชนต่อสู้ เพื่อปกป้องทรัพยากร และความปลอดภัยของชุมชน

ซึ่งการต่อสู้ลักษณะนี้ จำเป็นต้องอาศัยกองทุนเพื่อทำให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ และการที่ประชาชนมีความ

สามารถในการดูแลตนเอง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในโครงการที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อท้องถิ่น จะช่วยลดปัญหาการกระจุกตัวของอำนาจ และการทุจริตลงได้ด้วย” ประธานกรรมการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าว

ในโลกยุคใหม่ คงต้องยอมรับว่า “เงินทุน” คืออำนาจแท้จริง เห็นได้จากกลุ่มทุนต่างๆ พร้อมจะวิ่งเต้น (Lobby) กับภาครัฐ ทั้งข้าราชการและนักการเมือง เพื่อให้เอื้อประโยชน์กับธุรกิจของตน ซึ่งหลายครั้งการลงทุนก็นำปัญหาเข้าไปให้ชุมชนท้องถิ่นด้วย เนื่องจากหลักการของทุนนิยม คือลงทุนให้ต่ำที่สุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกำไรสูงสุด

ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็มักมองแต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของตน จึงมุ่งส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจผ่านนโยบายต่างๆ จนอาจละเลยผลกระทบต่อชีวิตของคนตัวเล็กตัวน้อย ส่วนภาคประชาชนเอง แม้ความตั้งใจดี แต่ก็มีข้อจำกัดคือไม่มีอำนาจใดๆ เหมือนภาครัฐ และไม่มีทุนมหาศาลแบบภาคธุรกิจ ทำให้การ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่คืบหน้า ตรงกันข้ามกลับมีแต่จะเพิ่มช่องว่างให้ห่างกันมากขึ้นเสียอีก

ดังนั้นกองทุนภาคประชาสังคม หากเกิดขึ้นได้และสามารถบริหารจัดการให้โปร่งใส ย่อมจะมีประโยชน์อย่างมาก ในฐานะ “อำนาจถ่วงดุล” อย่างหนึ่ง และเป็นอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง

 


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 3 มิถุนายน 2557