“ทีดีอาร์ไอประเมินผลกระทบนโยบายปรับค่าแรงของรัฐบาล และแนวทางที่ในปี 2556 จะมีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ และไม่มีการขึ้นไปอีก 2 ปี จะมีผลกระทบกับภาคธุรกิจและสร้างความอึดอัดกับฝ่ายแรงงาน เสนอ 3 ทางเลือกผ่อนคลายความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ และสร้างความเป็นธรรมกับลูกจ้างด้วยการนำดัชนีค่าครองชีพมาปรับเพิ่มเติมให้ทุกปีเพื่อไม่ให้แรงงานจนลง”
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยความคืบหน้าการประเมินผลกระทบนโยบายของค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้ามีผลบังคับใช้แล้วบางส่วน โดยในส่วนค่าแรง 300 บาท เพิ่มให้แล้ว 40%ทั่วประเทศทำให้พื้นที่ 7 จังหวัดได้ค่าจ้าง 300 บาท และจะปรับอีกครั้งในเดือนมกราคม 2556 จึงจะทำให้ทุกจังหวัดมีค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่การมีค่าจ้างเท่ากันทั่วประเทศแล้วจะไม่ให้มีการปรับไปอีก 2 ปี(2557-2558)นั้นอาจไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงาน เพราะเมื่อถ่วงดุลด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทุกปีจะทำให้ค่าจ้างแท้จริง(ค่าจ้างเป็นตัวเงินปรับด้วยค่าครองชีพ)มีมูลค่าน้อยกว่า 300 บาท หากไม่มีการปรับเพิ่มค่าครองชีพในแต่ละปีจะทำให้แรงงานจนลง
จากผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่ทุกฝ่ายได้รับแตกต่างกันไป นำมาสู่การเสนอทางเลือกที่สามารถลดผลกระทบ มีเวลาให้นายจ้างปรับตัวและลูกจ้างได้รับค่าจ้างอย่างเหมาะสม มีเหตุผล ลดการเรียกร้องการขึ้นค่าจ้างทุกปี โดยการศึกษาเสนอให้นำผลการคาดการณ์ภาวะค่าครองชีพ หรือ CPI ของกระทรวงพาณิชย์(ซึ่งทำทุกปี) ในแต่ละจังหวัดมาใช้เป็นฐานในการพิจารณาเนื่องจาก สิ่งที่คาดการณ์คือในปี 2556 การปรับขึ้นค่าจ้างจะมีปัญหาทั้งใน 7 จังหวัดที่ขึ้นไปก่อนแล้ว กับ 70 จังหวัดที่กำลังจะได้เป็น 300 บาท โดยหลายจังหวัดในรอบที่สองก็จะเกิดการช็อกเหมือนเจอแผ่นดินไหวอีกครั้งและจะใหญ่กว่าเนื่องจากจะเป็นการปรับขึ้นในอีก 70 จังหวัดที่มีค่าจ้างห่างจาก 300 บาทมาก ขณะที่ 7 จังหวัดที่ปรับไปก่อนหากไม่มีการปรับเพิ่มด้วยค่าครองชีพก็จะทำให้อำนาจซื้อเขาลดลงไป
ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า หากยืนตามนโยบายรัฐบาลจะทำให้ในปี 2556 ทุกจังหวัดจะมีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และให้ค่าจ้างคงที่ไปอีก 2 ปีจนถึงปี 2558 จากกรณีฐานดังกล่าวทีดีอาร์ไอประเมินว่า อำนาจซื้อจากเงิน 300 บาทจะลดลงไปพอๆกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำแท้จริงเฉลี่ยในปี 2556 อยู่ที่ 299 บาท โดย 7 จังหวัดแรกที่ได้ขึ้นค่าจ้างไปก่อนจะเสียเปรียบกว่าโดยกรุงเทพฯเหลือ 293 บาท นครปฐมเหลือ 290 บาท ปทุมธานีเหลือ 292 บาท นนทบุรี สมุทรปราการและภูเก็ตเหลือ 289 บาท สุดท้ายสมุทรสาครเหลือ 287 บาท
ดังนั้นในปี 2556 ยังมีแนวทาง ที่ทำให้ลูกจ้างไม่จนลง นายจ้างมีเวลาปรับตัว จึงเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ 3 แนวทาง คือ
ทางเลือกที่ 1 ปรับเพิ่มค่าจ้างเป็น 2 งวด เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจที่มีต้นทุนค่าแรงสูง และไม่สามารถปรับตัวได้ทัน โดยปี 2556 ขึ้นค่าจ้าง 27-55 บาท เพิ่มอีก 18 จังหวัด จากจังหวัดที่มีความเป็นไปได้ในทุกภูมิภาคก่อน เมื่อรวม 7 จังหวัดเดิมที่ได้ขึ้นไปก่อนในรอบแรกจะทำให้มี 25 จังหวัดที่มีค่าจ้าง 300 บาท จากนั้นในปี 2557 ขึ้นค่าจ้าง 56-78 บาทให้กับอีก 52 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งจะทำให้ในปี 2557 มีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ขณะเดียวกันจังหวัดที่เคยขึ้นค่าจ้างไปก่อนหน้านี้แล้วก็ต้องมีการปรับค่าครองชีพให้โดยอัตโนมัติ เช่น ถ้าค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 4% ใน2 ปีข้างหน้าค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2556จะเป็น 312 บาทและในปี 2557 จะเป็น 324 บาท เป็นต้น การนำค่าครองชีพมาพิจารณาในการปรับก็เพียงเพื่อทำให้แรงงานไม่ต้องยากจนลงกว่าปีก่อนเท่านั้น ยังมิได้พิจารณาผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนายจ้างก็ควรเพิ่มในส่วนของการเพิ่มเงินเดือนให้ได้อีก
“ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกขั้นต่ำสุดที่จะไม่ทำให้แรงงานที่เคยปรับ 300 บาทไปแล้วไม่ยากจนลงไปกว่าเดิม โดยทุกจังหวัดจะปรับตามค่าครองชีพทุกปี ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดที่เคยขึ้นค่าจ้างไปแล้ว และในปี 2557 จังหวัดในกลุ่มค่าจ้างต่ำสุดจะมีค่าจ้างครบ 300 บาท ตามสัญญาที่หาเสียงไว้กับประชาชน และเป็นทางเลือกที่ผ่อนคลายสำหรับผู้ประกอบการ และเน้นอำนาจซื้อของแรงงานที่เท่ากันทั้งประเทศ ”
ทางเลือกที่ 2 เป็นทางเลือกที่ไม่เข้มงวดเหมือนทางเลือกแรก โดยให้ขึ้นค่าจ้างครั้งเดียว 40% (เพิ่มไปแล้วในปี 2555) และทุกปีก็ให้ปรับขึ้นตามดัชนีค่าครองชีพ แต่พบว่าต้องใช้เวลาถึง 10 ปี (2556-2565) จึงจะทำให้จังหวัดอ่างทองจะเป็นจังหวัดสุดท้ายที่ได้ค่าจ้างถึง 300 บาท (ที่จริงอยู่ที่ 304 บาท) โดยทางเลือกนี้จะมีลำปางที่มีค่าจ้างสูงสุด 564 บาท (ในปี 2565) ส่วนกรุงเทพฯจะมีค่าจ้างเพียง 431 บาท แต่ถ้าผู้ประกอบการใช้คุณภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานปรับเพิ่มให้ก็อาจใช้เวลาประมาณ 4-6 ปี ที่ทุกจังหวัดจะมีค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน
ทางเลือกที่ 3 เป็นทางเลือกที่กำหนดขึ้นตามแนวทางข้อเรียกร้องของสภาอุตสาหกรมแห่งประเทศไทย เพื่อขอเลื่อนการดำเนินนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศเป็น มกราคม 2558 หรือเลื่อนไปอีก 3 ปี โดยทุกจังหวัดที่เคยขึ้นเงินเดือน 40% ของค่าจ้างของแต่ละจังหวัด จะต้องปรับค่าครองชีพ(CPI)ให้กับแต่ละจังหวัดโดยอัตโนมัติ ตามการคาดการณ์ของกะทรวงพาณิชย์(แต่ละจังหวัดจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างตามฐานเงินเดือนที่แตกต่างกัน) จากนั้นในปี 2558 ทุกจังหวัดจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวันครบทุกจังหวัด โดยแนวทางนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 35%ของจังหวัดที่เคยได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น 40% ไปก่อนในปี 2555 และได้มีการปรับค่าครองชีพมาแล้วทุกปี
ข้อดีของทางเลือกที่ 3 นี้คือจังหวัดที่ได้รับไปแล้วจะไม่จนลง เจ้าของกิจการมีการปรับตัวอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี มีเวลาคิดในเรื่องการปรับโครงสร้างค่าจ้างของคนเดิมให้สอดคล้องกันในแต่ละปี และไม่ต้องใช้เงินมากในปีเดียวในการขึ้นเงินเดือนสูงสุด(ในบางจังหวัด)ถึง 35% แนวทางนี้ยังมีผลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อน้อยกว่า โดยช่วงเงินที่ต้องปรับ(ยกเว้น 7 จังหวัดที่ได้ไปก่อนในปี 2555) คือ 2-20 บาทใน 9 จังหวัด 21-40 บาทใน 34 จังหวัด 41-58 บาทใน 27 จังหวัด จึงจะครบ 100% และเท่ากันหมดทั้งประเทศ แนวทางนี้นายจ้างจำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนเพื่อจะใช้ในการปรับเพิ่มตาม CPIทุกปี เท่านั้น
ดร.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า แนวทางดังกล่าวก็เพื่อลดความอึดอัดของฝ่ายแรงงานที่หากไม่มีการปรับเลยให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าจ้างที่เขาได้ 300 บาทไม่เพียงพอดำรงชีพอยู่ดี ในแง่แรงงานจึงเป็นข้อเสนอที่จะทำให้เขาอยู่ได้ ไม่จนลง เพราะเขาก็จะได้ปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการค่าจ้างกลางว่าจะนำแนวทางนี้มาใช้หรือไม่ หากนำมาใช้ก็จะช่วยลดการเรียกร้องของแรงงานในเรื่องนี้ และทำให้นายจ้างมีเวลาปรับตัวพอสมควร.