จิราภรณ์ แผลงประพันธ์: สถานการณ์เด็กไทย “ยอมรับ”ก็แก้ได้

ปี2012-10-15

การศึกษาแย่ สังคมเสื่อม หล่อหลอมอนาคตเด็กไทยน่าวิตก ทั้งปัญหาพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่วัยใสที่สถิติไม่ลดลง ผลศึกษารายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ย้ำเร่งเพิ่มความอบอุ่นครอบครัว สืบทอดค่านิยม วัฒนธรรม เคารพผู้ใหญ่ และการดูแลปู่ย่าตายาย ก่อนสังคมไทยวิกฤติหนักเมื่อช่องว่างเด็กกับคนแก่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง และเด็กรุ่นใหม่ขาดทักษะการดูแลผู้ใหญ่ในครอบครัว อนาคตทั้งพ่อแม่และเด็กปัจจุบันจึงน่าห่วง อย่างไรก็ตามเรื่องของเด็กแก้ไขได้ขอเพียงผู้ใหญ่ยอมรับความจริงและมีข้อมูลมากพอ

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโส ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า จากการศึกษา ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เด็กและเยาวชนในประเทศไทยให้สมบูรณ์ทุกมิติ ในระดับต่าง ๆ เพื่อจัดทำรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย ปี พ.ศ.2553 ซึ่งสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบให้ทีมวิจัยจากทีดีอาร์ไอทำการศึกษา เนื่องจากสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบันทั้งภายในประเทศและกระแสสากลทำให้เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ และสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ อันเป็นอุปสรรคและเป็นอันตรายต่อการดำเนินชีวิต มีแนวโน้มที่ปัญหาจะเพิ่มความรุนแรง และซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยข้อมูลที่มีความต่อเนื่อง และทันต่อสถานการณ์ จึงจะสามารถใช้กำหนดนโยบายหรือมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนได้ตรงเป้าหมายและอย่างเหมาะสม

การศึกษานี้เป็นการรวบรวมข้อมูลด้านเด็กครอบคลุมทุกประเด็น ทำให้เห็นภาพรวมสภาวการณ์เด็กตั้งแต่เกิดไปจนถึงวัยเรียนจบมีงานทำ ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว สุขภาพกายและสุขภาพจิต การศึกษา การมีงานทำ การใช้เวลาว่าง การปกป้องคุ้มครอง การดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน งบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน และยังได้การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 5-10 ปีทำให้เห็นแนวโน้มสถานการณ์และปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ซึ่งพบว่ามีข้อน่าห่วงใยหลายประการ ได้แก่ การมีเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น และกำลังจะเป็นปัญหา ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ แต่เหตุผลหลักไม่ได้มาจากปัญหาหย่าร้างของพ่อแม่ดังที่เคยเข้าใจกันมาในอดีต แต่กลับมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่พ่อแม่ต้องไปทำงาน จึงให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายายหรือฝากคนอื่นดูแลแทน จึงมีปัญหาความอบอุ่นในครอบครัวและช่องว่างการสื่อสารระหว่างวัยของเด็กกับปู่ย่าตายายที่ดูแล ในขณะที่การเข้าถึงการสื่อสารสมัยใหม่ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทำให้อาจเกิดการใช้อย่างไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมเลียนแบบหรือคึกคะนอง เด็กจึงอาจจะเติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร

การที่ครอบครัวไทยมีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องวัฒนธรรมประเพณีไทย ความกตัญญูกตเวทีและการดูแลปู่ย่าตายาย เช่น การดูแลเรื่องอาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ ป่วยก็พาไปหาหมอ การที่เด็กไม่เคยเห็นแบบอย่างเหล่านี้จึงเป็นเรื่องน่ากังวลว่าในอนาคตเด็กเหล่านี้ก็จะไม่สามารถดูแลคนแก่ในสังคมที่จะมีผู้สูงอายุจำนวนมากในอนาคต สังคมจึงพึงตระหนัก และควรสร้างจิตสำนึก รณรงค์การทำจิตอาสาในกลุ่มเด็กในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น จิตอาสาในโรงพยาบาล ฯลฯ ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้เป็นความเคยชินจนแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันแม้เด็กกล้าแสดงออก กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่กลับมีสัมมาคารวะ/ความเคารพต่อผู้ใหญ่น้อยลง

การศึกษายังพบปัญหาข้อมูลแม่วัยใสที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีหน่วยงานหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้การช่วยเหลือดำเนินการ แต่อัตราแม่วัยใสก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจคือเพิ่มขึ้นถึง 20% ของคนคลอด (อายุต่ำกว่า 19 ปี)ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก และหากเกิดขึ้นในกลุ่มคนระดับล่างที่ไม่มีศักยภาพในการดูแลทั้งตัวเองและครอบครัว ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่อาจหลุดพันจากวังวนเดิม ๆ เหล่านี้ได้ ตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่งในชุมชนแออัดแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร มีเด็กหญิงคนหนึ่งเรียน ป.3 แต่ยังอ่านเขียนไม่ได้ และเด็กไม่อยากไปโรงเรียน เด็กคนนี้มียายอายุราว 30 ปีเท่านั้น และทั้งแม่และยายมีการศึกษาระดับพื้นฐาน แต่ด้วยภาวะครอบครัวต้องดิ้นรนจึงไม่มีเวลาสอนการบ้านให้เด็ก ดังนั้น หนทางที่เด็กคนนี้จะสามารถหลุดพ้นจากภาวะความยากจน ด้วยการได้รับศึกษาที่ดีจึงเป็นไปได้ยาก

สำหรับเรื่องดี ๆ ที่ค้นพบคือ ด้านการศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งพบว่า เด็กเข้าถึงการศึกษาดีขึ้นมาก(แต่ไม่เกี่ยวกับคุณภาพ) และที่ดีที่สุดคือเข้าถึงระบบสาธารณสุข มีการฝากครรภ์ การดูแล การได้รับวัคซีน แต่เป็นการเข้าไปดูแลที่ปลายเหตุ และไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคนคุณภาพ สำหรับสังคมในอนาคต การแก้ปัญหาที่ผ่านมาแม้จะมีความพยายามทำกันมาอย่างต่อเนื่องแต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือแก้ไม่ตรงจุด ต่างคนต่างทำ จึงควรดึงเครือข่ายและทำร่วมกันในระดับชาติแทน
นางจิราภรณ์ เปิดเผยด้วยว่า จากภาพรวมของเด็กทั้งประเทศ ยังมีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นสถานการณ์เด็กและเยาวชนในระดับจังหวัด โดยจากการศึกษาสถานการณ์ความยากจนในเด็กไทย ซึ่งทำการศึกษาภายใต้สนับสนุนจากองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) ซึ่งเปรียบเทียบข้อมูลปี 2549 กับ 2551 โดยการหาความสัมพันธ์ว่าการขาดแคลนของเด็กในมิติต่าง ๆ ที่หลากหลายนั้นมีความสัมพันธ์กับความยากจนตัวเงินมากน้อยเพียงใด ผลการศึกษาพบว่า มีหลายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนเงินเช่น การให้นมบุตร(ทารกอายุ 6-11 เดือน) เพราะทารกที่ไม่ได้รับนมแม่ไม่ได้เป็นปัญหาของครัวเรือนที่ยากจนเงิน แต่เป็นปัญหาที่พบในครัวเรือนที่ไม่ได้ยากจน แนวทางบรรเทาความขาดแคลนในเรื่องนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มเงินหรือรายได้ให้กับครอบครัวทารกนี้ แต่เป็นประเด็นอื่น ๆ เช่น การจัดสรรเวลา และความสะดวกในการให้นมบุตรของแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน เป็นต้น อาจทำได้โดยการขอความร่วมมือให้สถานประกอบการจัดสถานที่และอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกสำหรับให้แม่เก็บนมไว้ให้ลูกได้ ฯลฯ

การศึกษาได้จัดทำดัชนีความขาดแคลนโดยรวม โดยเลือกเฉพาะตัวชี้วัดที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับความยากจนด้านตัวเงิน ทั้งหมด 17 ตัวชี้วัดใน 8 มิติ และกำหนดเกณฑ์ในการจัดระดับความขาดแคลนของแต่ละตัวชี้วัดในระดับครัวเรือนสำหรับแต่ละมิติเป็น 3 ระดับ คือ ไม่มีปัญหา มีปัญหา และมีปัญหารุนแรง จากนั้นนำความขาดแคลนในต่างมิติมาสรุปรวมอีกครั้ง พบว่า ความขาดแคลนในเด็กและเยาวชนมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรระหว่างปี 2549 และปี 2551 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีสัดส่วนของครัวเรือนที่เด็กและเยาวชนมีความขาดแคลนในระดับรุนแรงมากสูงที่สุด (ร้อยละ 6.67 และ 4.76 ของครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดในปี 2549 และ 2551 ตามลำดับ)

ผลการศึกษาสะท้อนนัยทางนโยบายคือผู้กำหนดนโยบายไม่ควรให้ความสนใจเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจนทางการเงินเท่านั้น เพราะมีความขาดแคลนขัดสนบางอย่างที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือมีความสัมพันธ์ตรงกันข้ามกับความยากจนทางการเงิน การจัดสรรงบประมาณลงในพื้นที่เช่นในระดับจังหวัดและระดับภูมิภาค ควรคำนึงถึงสถานการณ์ความขาดแคลนที่เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับบางพื้นที่ด้วย

ปัญหาเด็กและเยาวชนนั้นซับซ้อน หากผู้ใหญ่เข้าใจและยอมรับด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ย่อมแก้ไขได้ ที่สำคัญต้องทำให้การลงทุนปีละหลายแสนล้านบาทถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและพัฒนาเด็กให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง