“เดือนเด่น”เตือนใช้เงินงบประมาณอัดประชานิยมเสี่ยงทำเศรษฐกิจล่มสลาย เผยผู้ส่งออกข้าว 25 รายเลิกกิจการเหตุซื้อข้าวแข่งกับรัฐไม่ได้
ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าสถานการณ์การคอร์รัปชั่นในประเทศไทยเปลี่ยนไปจากในอดีตปัจจุบันใช้เงินงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาทมาใช้ในโครงการประชานิยม ซึ่งปัญหาที่จะตามมานอกจากเกิดความไม่มั่นคงทางการคลังของประเทศ จะเกิดการล่มสลายเศรษฐกิจไทยได้
ดร.เดือนเด่น กล่าวว่า กรณีโครงการจำนำข้าวเป็นประชานิยมที่จะเกิดผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจได้ชัดเจนที่สุด ปัจจุบันจากผู้ค้าข้าวในประเทศที่มีอยู่ 160 ราย ต้องเลิกกิจการไปแล้ว 25 ราย เนื่องจากเข้าไปซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาลไม่ได้ นอกจากนั้นชาวนาไม่สนใจเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าว และปลูกข้าวเน้นปริมาณ สะท้อนว่าระบบการผลิตและจำหน่ายข้าวในไทยกำลังเดินไปสู่ความเสียหาย และมื่อเสียหายแล้วจะกลับมาได้ยาก อาจเป็นการเสียหายอย่างถาวร
“คำนวณว่าการขาดทุนปีละ 1 แสนล้านบาทหรือขาดทุน 1% ของจีดีพี ถือว่าค่าเสียโอกาสสูงมาก เนื่องจากงบประมาณของไทยที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนามีแค่ 0.2% ของจีดีพี เท่ากับว่าการจำนำข้าวสูงกว่างบวิจัยและพัฒนาของประเทศ 5 เท่า แล้วการพัฒนาประเทศจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” ดร.เดือนเด่น กล่าว
เธอกล่าวด้วยว่า การใช้นโยบายประชานิยมเกิดในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง โมเดลไทยจะต่อต้านคอรัปร์ชั่นไม่ใช่โมเดลของสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เนื่องจากองค์ประกอบต่างกัน กรณีของไทยอาจใกล้เคียงกับเกาหลีใต้ที่มีนักการเมืองฉ้อฉลมาก่อน ซึ่งการคอรัปร์ชั่นในเกาหลีแก้ได้โดยการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาและคุณภาพประชากรเพิ่มขึ้นซึ่งรายได้ประชากรที่สูงช่องว่างทางรายได้ลดลลงก็จะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมได้
ตีพิมพ์ครั้งแรก: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 ในชื่อ ‘ทีดีอาร์ไอ’ย้ำใช้งบอัดประชานิยมเสี่ยงศก.ล่ม