tdri logo
tdri logo
26 ธันวาคม 2012
Read in Minutes

Views

ยงยุทธ แฉล้มวงษ์: จับจังหวะแรงงานไทยขาขึ้น เรียนรู้ รอด ในปี 2556

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  สรุปไฮไลท์แรงงานไทยในปี 2555 และโอกาสและความท้าทายในปี2556  ระบุเป็นช่วงแรงงานไทยขาขึ้นเกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของโครงสร้างตลาดแรงงานไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ก่อผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทั้งผู้ประกอบการและตัวแรงงาน พร้อมโอกาสที่ยังมีมาต่อเนื่องจากแรงกดดันตลาดแรงงานเสรีในประชาคมอาเซียน ทั้งนายจ้างลูกจ้างจึงต้องปรับตัวเรียนรู้จึงอยู่รอด ที่สำคัญทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นกับดักเศรษฐกิจแรงงานราคาถูกสู่การใช้แรงงานที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้น

ไฮไลท์แรงงานไทยในปี 2555 :  โอกาสที่มาแบบไม่ตั้งตัว

ในภาพรวมด้านจำนวนแรงงานแนวโน้มการจ้างงานยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงการฟื้นตัวจากผลกระทบน้ำท่วมปลายปี2554 แต่ความตึงตัวของแรงงานไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากบางสาขาการผลิตที่ฟื้นตัวมาแล้วแต่ก็ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะสาขาการก่อสร้างหรืออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้น  เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์  ตัดเย็บกระเป๋า รองเท้า ฯลฯ  ซึ่งมีภาวะการเข้าออกสูง จึงมีความต้องการแรงงานต่อเนื่องและยังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ผลจากการปรับขึ้นค่าจ้างตามนโยบายค่าจ้าง 300 บาทของรัฐบาลรอบแรกเมื่อเดือนเมษายน ดึงดูดให้มีคนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่ว่างงานอยู่แล้วปรับตัวเองมาสู่ตลาดแรงงาน ทำให้สถานการณ์ตึงตัวของตลาดแรงงานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่หากดูในเชิงคุณภาพความขาดแคลนในเชิงคุณภาพยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสมรรถนะและทัศนคติของแรงงานบางอย่างที่สืบเนื่องมาจากระบบการศึกษา แรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานยังมีปัญหาเรื่องพื้นฐานความรู้ทางการศึกษาเป็นภาระของผู้ประกอบการในการจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้ ขณะที่แรงงานในสายอาชีวศึกษาเกิดความต้องการสูงขึ้นมากซึ่งมีลักษณะพิเศษต่างจากปีก่อน ๆ คือมีภาพของการปรับเปลี่ยนในการใช้ขบวนการปรับปรุงการผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเกิดขึ้น 2 ช่วง  ช่วงแรกเมื่อมีการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทรอบแรก ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ปรับตัวปรับขบวนการใช้แรงงานระหว่างปี มีการเพิ่มผลิตภาพมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต ตัวเลขที่ยืนยันประเด็นนี้จากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงานคือผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเพิ่มสูงถึง 8% ต่างจากในอดีตที่ผลิตภาพแรงงานจะอยู่ในระดับ 3-4% มาโดยตลอด ดังนั้นผลจากภาวะช็อคขึ้นค่าจ้าง 300 บาททำให้ผลิตภาพแรงงานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว และมีการปรับประสิทธิภาพการผลิตอย่างมากเพื่อปรับตัวให้อยู่รอด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงช่วงที่สอง คือ หลังจากน้ำท่วมใหญ่และค่อย ๆ ฟื้นตัวมาในปลายปีนี้ (ปลายปี 54 ต่อเนื่องถึงปี 55 ) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต ทำให้มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งเกิดจากมีการทบยอดคำสั่งซื้อในช่วงเกิดภาวะน้ำท่วมมาเร่งผลิตใน ต้นปี 55 ทำให้เกิดความต้องการแรงงานมากผิดปกติโดยเฉพาะสายวิชาชีพ อีกส่วนหนึ่งคือมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานสายช่างเพื่อไปดูแลอุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ ทำให้มีความต้องการแรงงานสายวิชาชีพเพิ่มมากขึ้นเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มเดิมที่เคยมีมาในอดีต  ปรากฏเด่นชัดในสายยานยนต์ที่รับเพิ่มนับหมื่นคน โดยสรุปภาพรวมของสถานการณ์แรงานในปี 2555 ก็คือ ปริมาณแรงงาน ผลกระทบจากน้ำท่วมส่วนหนึ่งทำให้การคลายตัวของความตึงตัวของตลาดแรงงานมีอยู่บ้างเป็นการชั่วคราว แต่พอหลังเริ่มต้นปี 2555 ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวกลับมาผลิตเพิ่มได้เต็ม 70-80%  ส่วนแรงงานที่หลุดออกไปจากระบบก็มีไม่มากนัก ปี 55 จึงเป็นโอกาสที่มาแบบไม่ตั้งตัวและเกินคาดของแรงงานไทยเกิดการยกระดับครั้งใหญ่ ปรับตัวและพัฒนาในทิศทางดีขึ้น

แรงงานไทยปี 2556 : โอกาสและความท้าทาย

ก้าวสู่ปี 2556 สิ่งที่ยังน่าวิตก คืออัตราการว่างงานของผู้มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากนโยบายปรับอัตราเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แม้จะบังคับใช้ในภาคราชการแต่มีผลกระทบกับตลาดแรงงานภาคเอกชนที่ผู้ประกอบ การขนาดกลางลงมาไม่สามารถจ้างแรงงานระดับป.ตรีขึ้นไปได้มากนัก แต่เน้นการใช้คนเดิมมากกว่าการจ้างคนใหม่ ขณะที่ในภาคราชการจะมีผู้จบการศึกษาปริญญาบัตรทั้งคนเก่าและผู้จบใหม่จะแข่งขันกันเข้าเป็นข้าราชการซึ่งก็รับได้จำนวนไม่มาก ดังนั้นโอกาสการมีงานทำของแรงงานปริญญาบัตรจึงไม่สดใสนัก ขณะที่ในกลุ่มผู้จบใหม่ก็มีต้นทุนในการศึกษาต่อระดับสูงกว่าป.ตรีแพงมาก ตั้งแต่หลักหลายแสนบาทจนถึงหลักล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว นับจากวันที่ 14 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไปมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้แรงงานต่างด้าวครั้งใหญ่ โดยไม่เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มอีกต่อไป โดยให้แรงงานเก่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วและยังมีการจ้างงานอยู่ เมื่อหมดสัญญาก็จะต้องกลับออกไปก่อน หากประสงค์จะทำงานค่อยยื่นขอกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง การดำเนินการเช่นนี้แม้จะทำให้ต้นทุนนายจ้างสูงขึ้น แต่ก็แลกมากับระบบน้ำดีที่มีจำนวนมากขึ้นคือระบบการจ้างงานที่มีความโปร่งใส และสามารถบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองแรงงานได้ดีกว่าเดิม ทั้งเรื่องค่าจ้างสวัสดิการต่าง ๆ และสิ่งที่นโยบายเร่งรัดกว่าเดิมคือการนำเข้าแรงงานแบบจีทูทีจากบางประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งค่าจ้างแรงงานยังต่ำกว่าไทย เพื่อมาทดแทนแรงงานที่ขาดคนเก่าที่ผิดกฎหมายและถูกผลักดันกลับออกไป เป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการคน มากกว่าเดิม หากคิดว่าต้นทุนการนำคนเข้ามาทำงานแพงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องคิดปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตโดยการใช้แรงงานต่างด้าวน้อยลงใช้แรงงานไทยมากขึ้น  ฉะนั้นอุตสาหกรรมทั้งหลายจึงจำเป็นต้องหาทางที่จะเพิ่มผลิตภาพแรงงานอย่างไม่มีทางเลี่ยง  อีกทั้งกระแสการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีก็กดดันให้มีการปรับตัวเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากเดิม  ซึ่งผลิตภาพแรงงานจะเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้สิ่งที่ทุกสถานประกอบการต้องเจอแน่เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม 2556 คือการปรับค่าจ้างขึ้นต่ำวันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ  ข้อเสนอคือในช่วงที่จะไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างต่อไปอีก 2 ปี (2557-2558) รัฐบาลควรมีมาตรการเข้าไปช่วยในการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพและคุณภาพอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เพื่อให้ปรับตัวอยู่รอดได้  สำหรับคนที่ไม่ไหวก็ควรให้ความรู้เพื่อตั้งตัวเปลี่ยนธุรกิจใหม่ได้สร้างโอกาสเป็นเถ้าแก่ให้มากขึ้น นอกจากนี้นโยบายสร้างงานขนาดใหญ่ควรเน้นการให้คนไทยเข้ามาทำงานให้มากที่สุด หากจะมีมาตรการช่วยเหลือด้วยการลดการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่ภาคธุรกิจเรียกร้องก็ไม่ควรลดเกิน 2% และมีกำหนดระยะเวลาชัดเจนเฉพาะในช่วง2ปีที่ไม่มีการปรับค่าจ้างเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับกรณีชราภาพซึ่งเงินออมของผู้กันตนในระยะยาว ในส่วนของกลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรต้องมีการดูแลติดตาม สิ่งที่ต้องทำมากขึ้นคือ การให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงทางรายได้และสิทธิความคุ้มครองต่าง ๆ ที่แรงงานนอกระบบยังด้อยสิทธิอยู่มาก รวมถึงการดูแลติดตามการใช้แรงงานเด็กที่ต้องทำให้ไม่มีการใช้แรงงานเด็กในสภาพเลวร้ายเกิดขึ้น

ทอล์คออฟเดอะทาวน์ ค่าจ้าง 300 และ 15,000 จุดเปลี่ยนแรงงานไทย

การที่รัฐบาลมีนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ทำให้ประเด็นเรื่องแรงงานมีการพูดถึงมาตลอดในช่วงปี 2555 เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เรื่องหนึ่ง และจะยังคงต่อเนื่องไปถึงปี 2556 เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบสูง นับว่าเป็นครั้งหนึ่งในรอบเกิน 10 ปีที่มีผลกระทบกับแรงงานเยอะมาก มีการรื้อโครงสร้างตลาดแรงงานก่อผลกระทบกว้างขวางในสังคมและทำให้เรื่องแรงงานเป็นที่สนใจในสังคม  ทำให้ภาคแรงงานมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งภาพรวมในแง่สมรรถนะแรงงานไทยดีขึ้นและในช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับตัวไปสู่การใช้แรงงานที่มีสมรรถนะดีขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้แรงงานความรู้สูงเพิ่มมากขึ้น หากมองด้วยแว่นเศรษฐศาสตร์ความท้าทายของแรงงานไทยอยู่ที่ทิศทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งพัฒนามาถึงจุดเปลี่ยนที่จะต้องขยับหนีจากการใช้ฐานเทคโนโลยีต่ำประสิทธิภาพต่ำ สมรรถนะต่ำ ค่าจ้างแรงงานต่ำออกจากกับดักมาสู่ความท้าทายใหม่ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ทุกรูปแบบ เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดเสรีที่ไม่ใช่แค่ในประเทศอีกต่อไป จึงเป็นอีกจังหวะก้าวของแรงงานไทย โดยเฉพาะแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีจะสามารถก้าวมาเป็นผู้ประกอบการได้มากขึ้น

นักวิจัย

ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์
ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ