ทีดีอาร์ไอรื้อโครงสร้างสปส.เป็นองค์กรอิสระ

ปี2013-04-05
นายวีระพงษ์ ประภา นักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
นายวีระพงษ์ ประภา นักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

“ทีดีอาร์ไอ”แนะแก้กฎหมายประกันสังคมปรับโครงสร้างอิสระ พร้อมลดยอดใช้เงินกองทุนมาบริหารจัดการจาก10% เหลือ 5% ช่วยบริหารงาน-ลงทุนคล่องตัว

นายวีระพงษ์ ประภา นักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนา”ติดตามร่างกฎหมายประกันสังคม” จัดโดยสถาบันทีดีอาร์ไอร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าที่มูลนิธิวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กทม.ว่า จากการวิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมที่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 จำนวน 4 ฉบับได้แก่ ร่างพ.ร.บ.ฉบับรัฐบาล ฉบับภาคประชาชน ฉบับนายเรวัต อารีรอบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และฉบับนายนคร มาฉิม ส.ส.ปชป.เห็นว่าการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมควรสร้างแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ผู้ประกันตนควรมีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนผู้ประกันตนเข้ามาเป็นคณะกรรมการประกันสังคมโดยตรง เนื่องจากปัจจุบันมีตัวแทนผู้ประกันตนมาจากสภาองค์การลูกจ้างซึ่งมีสมาชิกแค่ 3 แสนคน ขณะที่ผู้ประกันตนมีกว่า 10 ล้านคน

นอกจากนี้ ควรแก้ไขมาตรา 24 ของพ.ร.บ.ประกันสังคมที่กำหนดให้คณะกรรมการประกันสังคมใช้เงินกองทุนไม่เกิน 10 % ของเงินสมทบแต่ละปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโดยปรับลดให้เหลือ 5% แม้ปัจจุบันสปส.ใช้เงินกองทุนอยู่ที่ 3% และตั้งแต่ปี 2551-2554 สปส.มีค่าใช้ในการบริหารจัดการเฉลี่ยปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงและตั้งคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งมาจากผู้แทนนายจ้างและลูกจ้าง ผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้ตรวจสอบภายในที่มีความรู้และเป็นอิสระ

นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผอ.วิจัยด้านประกันสังคม ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า สปส.มีปัญหาใหญ่ต้องเร่งแก้ไขคือ โครงสร้างองค์กรที่เป็นระบบราชการ ไม่มีความเป็นอิสระ ขาดความคล่องตัวและคณะกรรมการสปส.เมื่อบริหารงานผิดพลาดก็ไม่ต้องรับผิดชอบ และใช้เงินกองทุนประกันสังคมอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การดูงานต่างประเทศไม่รู้ว่าได้เอามาใช้พัฒนาระบบประกันสังคมหรือไม่ การซื้อตึก อาคารต่างๆเพื่อจัดเก็บเอกสารมีความโปร่งใสหรือไม่ จึงควรปรับปรุงสปส.ให้เป็นองค์กรอิสระ บริหารงานคล่องตัวโดยเฉพาะด้านการลงทุน เพื่อความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว เนื่องจากการจัดเก็บเงินสมทบในอัตราปัจจุบันไม่สอดคล้องกับการจ่ายเงินบำเหน็จและบำนาญชราภาพซึ่งอนาคตต้องจ่ายเงินออกไปจำนวนมาก จะหวังพึ่งรัฐบาลก็ยากเพราะใน 50 ปีข้างหน้า รัฐบาลมีภาระต้องใช้หนี้ถึง 5 ล้านล้านบาท

“เชื่อว่าไม่ว่าผู้ใช้แรงงานจะเสนอร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมที่เน้นปรับสปส.ให้เป็นองค์กรอิสระไปกี่ครั้งตกสภาฯ เพราะรัฐบาลไม่เอาด้วย ผู้ใช้แรงงานจะต้องค่อยๆใช้เวลาทำความเข้าใจและตกลงกับนักการเมืองและรัฐบาล เวลานี้ที่ทำได้ก็คือ ผู้ใช้แรงงานต้องเจรจากับรมว.แรงงานขอเข้าไปมีส่วนร่วมรับฟังการประชุมบอร์ดสปส.ว่านำเงินกองทุนเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้กรรมการบอร์ดสปส.แค่ไม่กี่คนตัดสินใจใช้เงินกองทุนจำนวนมากไปทำโครงการต่างๆโดยที่ผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านไม่ได้รับรู้เลยรวมทั้งให้มีการเผยแพร่รายงานการประชุมผ่านเวบไซต์ ซึ่งปัจจุบันสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ก็ทำเช่นนี”นางวรวรรณ กล่าว

น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับประชาชนเน้นปรับโครงสร้างสปส.ให้เป็นหน่วยงานที่มีการบริหารงานที่มีความเป็นอิสระ โปร่งใสและตรวจสอบได้โดยมีคณะกรรมการรองรับและผู้ประกันตนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ บริหารงานโดยมืออาชีพและเพิ่มประโยชน์ เนื่องจากสปส.ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ เช่น โครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์กว่า 2,300 ล้านบาท การดูงานต่างประเทศปีละกว่า 30 ล้านบาท งบประชาสัมพันธ์กว่า 170 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าการใช้เงินมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนหรือไม่ ซึ่งคสรท.จะเดินหน้ารณรงค์ไม่ให้เลือกส.ส. 250 คนที่ไม่รับร่างพ.ร.บ.ฉบับประชาชนในวาระที่ 1 เข้าไปนั่งในสภาฯในสมัยหน้า

นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) กล่าวว่า การที่ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับประชาชนไม่ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 1 ของสภาฯจะมีผลกระทบไปถึงร่างกฎหมายภาคประชาชนฉบับอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับประชาชนอาจจะถูกตีความได้ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะสภาฯปล่อยให้ตกไปและไม่ได้ตั้งตัวแทนภาคประชาชนให้เป็นกรรมาธิการวิสามัญ(กมธ.)พิจารณาร่างกฎหมายในวาระที่ 2 ในสัดส่วน 1 ใน 3 ของกมธ.ทั้งหมด

นายอารักษ์ พรหมณี รองเลขาธิการสปส.กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สปส.นำเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้ในการบริหารจัดการอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นงบเงินเดือนของบุคลากรของสปส.ซึ่งขณะนี้มีถึง 6,000 คนโดยในจำนวนนี้มีข้าราชการเพียง 2,000 คน จึงต้องใช้งบกองทุนจ้างบุคลากรส่วนที่เหลืออย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าการใช้จ่ายเงินกองทุนเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังทุกอย่างและต้องแจ้งบัญชีใช้จ่ายด้วย นอกจากนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ก็ยังได้เข้ามาตรวจสอบ


ตีพิมพ์ครั้งแรก: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 5 เมษายน 2556 ในชื่อ