“โครงการอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ: ผลกระทบ การประกันภัย และการชดเชยเยียวยา”
โดย ดร. สุเมธ องกิตติกุล และ นายแพทย์ธนะพงศ์ จินวงษ์
วันพุธที่ 3 เมษายน 2556 เวลา 09.30 – 11.00 น.
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
งานวิจัยนี้ศึกษาถึงผลกระทบของอุบัติเหตุของรถโดยสารสาธารณะ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประสบอุบัติเหตุ รวมถึงญาติของผู้ประสบอุบัติเหตุ และกระบวนการชดเชยเยียวยาในปัจจุบัน เพื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรค และนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
ผลการสำรวจผู้ประสบอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ
ผู้วิจัยและคณะได้สำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประสบอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะในประเทศไทย จากการสัมภาษณ์ผู้ประสบเหตุทั้งหมด 142 ตัวอย่าง ซึ่งมาจากรายชื่อกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุที่ได้รับจากทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) รวมทั้งหมด 252 ตัวอย่าง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
– ผู้ประสบเหตุต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งในระหว่างและหลังออกจากโรงพยาบาล
ผู้ประสบอุบัติเหตุร้อยละ 54 ของทั้งหมด ใช้ระยะเวลารักษาพยาบาลมากกว่า 1 เดือน จึงสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
– จำนวนเงินชดเชยที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อค่ารักษาพยาบาลจริง
ผู้ประสบเหตุที่ได้รับข้อมูลมาจาก มพบ. มีค่าเฉลี่ยของเงินชดเชยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นอยู่ที่ ร้อยละ 60 ในขณะที่ฝั่ง บขส. นั้นคิดเป็นร้อยะ 93 ส่วนจำนวนเงินชดเชยเฉลี่ยที่ได้รับทั้งจากการชดเชยค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนของทาง มพบ. มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า บขส. และจำนวนเงินชดเชยทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บ เช่น การเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บทั่วไป
– การเรียกร้องค่าเสียหายใช้ระยะเวลานาน
กลุ่มผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประสบเหตุจาก มพบ. ยุติคดีความจากการดำเนินการในชั้นศาล ในขณะที่กลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุจาก บขส. นั้น ส่วนใหญ่ยุติคดีความโดยไม่พึ่งศาล ในส่วนระยะเวลาในการไกล่เกลี่ย/เรียกร้องค่าเสียหายนั้น มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 18-19 เดือน ทั้งนี้ มพบ. มีปัญหาด้านความล่าช้าในการพิสูจน์ถูกผิด ในขณะที่ทาง บขส. พบปัญหาในเรื่องการขาดความเข้าในสิทธิคุ้มครองและการต้องการจบปัญหาโดยเร็ว แม้จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
นอกจากนี้ การฟ้องร้องต่อศาลมีผลทำให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนที่มากขึ้น โดยค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 120 ในกรณีสิ้นสุดที่กระบวนการไกล่เกลี่ย
– ข้อเสนอแนะจากผู้ประสบเหตุ
ข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ประสบเหตุที่สำคัญคือเรื่องคนขับรถโดยสารสาธารณะที่ควรมีการขับขี่โดยไม่ประมาท มีการตรวจสอบประวัติคนขับรถและมีบทลงโทษผู้ขับขี่ รองลงมาเป็นเรื่องข้อกฏหมายในการควบคุมความเร็วรถโดยสารสาธารณะ การคาดเข็มขัดนิรภัย และวงเงินคุ้มครองการประกันภัย เรื่องถัดมาคือการมีบทลงโทษบริษัทรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบร่วม และสุดท้ายคือเรื่องการตรวจสอบสภาพรถโดยสาร ซึ่งเน้นด้านอายุการใช้งานและสภาพรถก่อนใช้งาน
การชดเชยเยียวยาต่อผู้ประสบอุบัติเหตุจากระบบประกันภัย
“จำนวนเงินชดเชยทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บ เช่น การเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บทั่วไป แต่วงเงินคุ้มครองเป็นวงเงินรวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและชดเชยกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิต”
– ข้อเท็จจริงเรื่องวงเงินการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
สำหรับประเทศไทย การชดเชยเยียวยาผู้ประสบอุบัติเหตุจากการประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัยนั้น สามารถแบ่งสิทธิการประกันภัยออกเป็น 2 ส่วนคือ สิทธิจากการประกันภัยพื้นฐานและสิทธิจากการประกันภัยเพิ่มเติม สำหรับสิทธิพื้นฐานนั้น สามารถแสดงได้ดังตารางที่ 1 นอกจากนั้น ผู้ประสบเหตุยังมีสิทธิพื้นฐานอื่นๆ เช่น สิทธิจากกองทุนประกันสังคมและสิทธิจากสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้น
สำหรับสิทธิจากการประกันภัยเพิ่มเติมประกอบด้วย สิทธิจากการที่รถยนต์ทำกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ การประกันภัยการบาดเจ็บเสียหายส่วนบุคคล การประกันชีวิต กองทุนคุ้มครองการทุพพลภาพ สวัสดิการจากหน่วยงานอื่นๆ ทั้งจากรัฐและเอกชน เป็นต้น
ตารางที่ 1: ค่าเสียหายเบื้องต้นและวงเงินคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
รายการ |
บาดเจ็บ |
ทุพพลภาพ |
เสียชีวิต |
บาดเจ็บ-ทุพพลภาพ หรือ |
ค่าเสียหายเบื้องต้น |
15,000 บาท |
35,000 บาท |
ไม่เกิน 50,000 บาท |
|
วงเงินคุ้มครองผู้ประกันภัยเมื่อรวมค่าเสียหายเบื้องต้น | ||||
กรณีปัจจุบัน |
ไม่เกิน 50,000 บาท |
ไม่เกิน 200,000 บาท |
||
หมายเหตุ: ผู้ประสบเหตุมีสิทธิได้ค่าชดเชยรายวันสำหรับการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล |
– วงเงินค่าเสียหายยังไม่มีความเหมาะสมเท่าที่ควร
สำหรับการประกันภัยตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ในประเทศไทยนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้ประสบเหตุที่เป็นบุคคลที่ 3 จะได้รับค่าเสียหายทันทีโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด ดังตารางที่ 1 ซึ่งค่าเสียหายดังกล่าวต่ำกว่าวงเงินที่คณะกรรมาธิการสาธารณสุข (2550) เคยเสนอไว้ ทั้งนี้ ในด้านการใช้จ่ายเพื่อรักษาพยาบาลนั้นมีความเหมาะสมในด้านจำนวนเงินชดเชยสำหรับกรณีที่ผู้ประสบเหตุบาดเจ็บทั่วไป แต่ไม่เหมาะสมในกรณีที่อาการบาดเจ็บร้ายแรง เนื่องจากเมื่ออาการบาดเจ็บร้ายแรงยิ่งขึ้น ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลเกินวงเงิน 50,000 บาท ที่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ภาคบังคับ ทำให้ได้รับการชดเชยที่ไม่เพียงพอ ส่วนค่าสินไหมทดแทนการขาดรายได้นั้น พบว่า จำนวนเงินที่ได้รับมีความเหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับค่าขาดรายได้ที่ผู้ประสบเหตุระบุ และเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยและระยะเวลาที่ขาดรายได้
นอกจากนี้ วงเงินคุ้มครองที่เป็นความเสียหายต่อการบาดเจ็บต่อร่างกายของประเทศไทยค่อนข้างต่ำและไม่มีวงเงินคุ้มครองสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน เมื่อเปรียบเทียบวงเงินดังกล่าวกับต่างประเทศ
– แนวทางที่เหมาะสมคือการปรับปรุงวงเงินค่าเสียหายเบื้องต้น
|
การเรียกร้องค่าเสียหาย
“ระยะเวลาในการไกล่เกลี่ย/เรียกร้องค่าเสียหายนั้น มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 18-19 เดือน”
“ค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 120 ในกรณีสิ้นสุดที่กระบวนการไกล่เกลี่ย”
– ระยะเวลาในการเรียกร้องค่าเสียหายค่อนข้างนานและไม่ทันการ
ระยะเวลาในการเรียกร้องค่าเสียหายในศาลนั้นใช้เวลานาน อันเนื่องมาจากข้อจำกัดสำหรับค่าเสียหายที่เป็นตัวเงินนั้นเป็นข้อจำกัดเกี่ยวกับกฎหมาย คือ กระบวนการพิจารณาคดีแพ่งของไทยเน้นระบบการกล่าวหามากกว่าการไต่สวน การที่ไม่สามารถระบุค่าเสียหายที่ไม่ได้เรียกร้องหรือสิทธิที่จะสามารถแก้ไขคำพิพากษาได้ภายใน 2 ปี และข้อจำกัดในการขาดหลักการหรือวิธีการคำนวณที่เหมาะสมในการกำหนดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วและวิธีที่ศาลใช้ในการกำหนดค่าเสียหายในอนาคต ส่วนข้อจำกัดด้านการกำหนดค่าเสียหายที่ไม่เป็นตัวเงินคือการที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้สามารถเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่เป็นตัวเงินและการขาดหลักหรือวิธีการคำนวณที่เหมาะสม
สรุปปัญหาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทางด้านการประกันภัย เพื่อยกระดับความปลอดภัย
ปัญหา |
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย |
1. การชดเชยค่ารักษาพยาบาลต้องรอพิสูจน์ถูกผิด | ควรมีการเพิ่มวงเงินค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มครอง และไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด |
2. การรวมวงเงินชดเชยและค่ารักษาพยาบาล | ควรมีการแยกเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพออกจากค่ารักษาพยาบาล |
3. ระยะเวลาในการเรียกร้องค่าชดเชยใช้เวลานาน | สร้างกลไกการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกให้ใช้เวลาสั้น |
4. การสร้างระบบการร่วมรับผิดของผู้ประกอบการที่เกิดอุบัติเหตุ | สร้างระบบร่วมจ่ายระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้ประกอบการ (ทั้งผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตและร่วมบริการ) |