การเมือง : ทัศนะบทความ
หลายประเด็นความสงสัยในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งหลายภาคส่วนในสังคมตั้งคำถาม จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้คำตอบ หรือคำยืนยันที่ชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม นายนิพนธ์ พัวพงศกร เเละ นายอัมมาร สยามวาลา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ส่งบทความถึงสื่อมวลชนเรื่อง “ใครต้องโชว์ใบเสร็จทุจริตจำนำข้าว” เนื้อหาระบุว่า
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทวิตข้อความแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่า ถ้า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ (รองปลัดกระทรวงการคลัง) มีข้อมูลการทุจริตข้าวทุกระดับ ให้ส่งหลักฐานเข้ามาพร้อมดำเนินคดีจนถึงที่สุด
แต่วันต่อมา กลับมีข่าวว่ารัฐมนตรีกระทรวงการคลังสั่งให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ น.ส.สุภาไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ วุฒิสภา ว่าโครงการรับจำนำข้าวมี “ความเสี่ยงและโอกาส” ที่จะเกิดการทุจริตทุกขั้นตอน
อันที่จริงหากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีสมควรจะแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของข้าราชการที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ตามที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย และสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แทนการสอบสวนกรณีที่ น.ส.สุภา ไปให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ วุฒิสภา
นายกรัฐมนตรีน่าจะรู้ดีว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง เพราะเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเอง หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ คือ การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และตั้งงบประมาณคืนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อใช้หนี้ที่กู้จาก ธ.ก.ส.และเพื่อนำเงินค่าระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554/55 มาเป็นเงินหมุนเวียนในการรับจำนำข้าวจากชาวนา
หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้ปิดบัญชีโครงการ คือ เมื่อพบข้อบกพร่องในการทำบัญชี และภาวะขาดทุนของโครงการ ผู้ปิดบัญชีจะต้องระบุสาเหตุของการขาดทุน และข้อบกพร่องของการจัดทำบัญชีเพื่อให้ผู้บริหารนำไปแก้ไข คณะอนุกรรมการเปิดบัญชีฯ มิได้มีหน้าที่และอำนาจในการเสาะแสวงหาหลักฐานการทุจริต
จากการแถลงข่าวของ รมว.วราเทพ รัตนากร ซึ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นอกจากการขาดทุน เนื่องจากการตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าราคาตลาด (รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับจำนำ เช่น ค่าจ้างสีข้าว ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ) แล้ว การขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวยังเกิดจากสาเหตุสำคัญอีก 2 ประการ คือ
1.ในโครงการรับจำนำข้าวนาปี พ.ศ.2555/56 ปริมาณข้าวสารที่ส่งมอบเข้าโกดังกลางของรัฐตามบัญชีของ อคส.และ อ.ต.ก.มีจำนวนต่ำผิดปรกติมาก หรือพูดง่ายๆ คือ มีข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านต้น ที่ยังไม่ได้ส่งมอบและอาจสูญหายจากโกดังกลาง ณ วันที่ 31 มกราคา 2556
และ 2.การขาดทุน เนื่องจากการระบายข้าวของรัฐในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯ ที่รายงานโดยกรมการค้าภายใน)
ปัญหาข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านตัน ที่ยังไม่ได้ลงบัญชี ทำให้รัฐบาลสั่งการให้มีการตรวจสต็อกข้าวทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 แต่ดูเหมือนว่าการตรวจสต็อกข้าวดังกล่าวเป็นเพียงปฏิบัติการผักชีโรยหน้า เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีข้าวจำนวนมากหายไปจากโกดังกลางของรัฐ ถ้าจะมีการทุจริตก็เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในทางปฏิบัติ โรงสีและพ่อค้าข้าวรู้ว่าการตรวจสต็อกข้าวอย่างจริงจังไม่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิหนำซ้ำยังไม่มีการตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างบัญชีข้าวสารที่โรงสีแต่ละแห่งสีแปร และส่งมอบเข้าโกดัง ว่าสอดคล้องกับบัญชีข้าวสารที่แต่ละโกดังรับมอบหรือไม่ และตรวจสอบว่าบัญชีดังกล่าวตรงกับปริมาณข้าวสารและข้าวเปลือกที่มีอยู่จริงตามโกดังต่างๆ หรือไม่
การตรวจสอบการทุจริตแบบนี้ จะต้องนำข้อมูลบัญชีของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการ “รับจำนำข้าว” ตลอดห่วงโซ่มาตรวจสอบพร้อมๆ กัน ได้แก่ องค์การคลังสินค้า องค์กรตลาดเพื่อเกษตรกร ธ.ก.ส. กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ คำสั่งและการอนุมัติของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
นอกจากข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ แล้ว ยังมีข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ที่บ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอบนำข้าวในโครงการจำนำไปหมุนขายในตลาดก่อน (แล้วค่อยหาซื้อข้าวสารราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านนำมาคืนโกดังกลางของรัฐในภายหลัง)
นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 มีนาคม 2556 ว่า รัฐบาลระบายข้าวสู่ตลาด 7 ล้านตัน ตัวเลขนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ข้าวสำหรับการบริโภคในประเทศและการส่งออก เราทราบว่า ในช่วงตุลาคม 2554 ถึงกุมภาพันธ์ 2556 ความต้องการใช้ข้าวดังกล่าวเท่ากับ 28.137 ล้านตัน แต่ในตลาดมีข้าวสารเหลือเพียง 17.827 ล้านตัน (เพราะจากผลผลิตข้าวจำนวน 39.682 ล้านตันข้าวสาร รัฐบาลรับซื้อเข้าโครงการจำนำถึง 21.855 ล้านตัน)
ฉะนั้นถ้าจะให้มีข้าวสารในตลาดเพียงพอต่อการบริโภคและส่งออก รัฐบาลต้องระบายข้าวอย่างน้อย 10.31 ล้านตัน (28.137-17.827 ล้านตัน) แต่คุณณัฐวุฒิบอกว่า มีการระบายข้าวเพียง 7.072 ล้านตัน แปลว่า ตลาดยังขาดข้าวอีก 3.238 ล้านตัน ดังนั้นจะต้องมีผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลจัดการให้มีการนำข้าวจำนวนมากออกจากโกดังกลางรัฐบาลมาหมุนขายในราคาถูก ทำให้ราคาข้าวสารขายปลีกในตลาดมีราคาถูก และไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ต้นทุนข้าวสารในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงกว่ามาก
ดังนั้นรัฐบาลจึงควรเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ หรือขอความร่วมมือจาก ป.ป.ช. ให้ช่วยดำเนินการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาข้าวในสต็อก และผู้มีอำนาจหน้าที่ในการระบายข้าว แล้วส่งรายงานให้รัฐบาลและรัฐสภาโดยเร่งด่วน
ต้นตอของการขาดทุนอีกส่วนหนึ่งของโครงการรับจำนำข้าว เกิดจากการที่รัฐระบายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดค่อนข้างมาก ทำให้รัฐขายข้าวได้เงินน้อยกว่าที่ควร จากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ที่เสนอต่อ รมว.วราเทพ ปรากฏว่าราคาข้าวที่หน่วยงานของรัฐขายให้แก่เอกชนอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯ มาก กล่าวคือ การระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปีฤดู 2554/55 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.43 บาท ขณะที่ราคาข้าวสารในตลาดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 18 บาท แสดงว่ารัฐขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึงกิโลกรัมละ 3.57 บาท ส่วนการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปรังปี 2555 ราคาขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.89 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 7.08 บาท
หากรัฐบาลประมูลขายข้าวแบบโปร่งใสก็จะขายได้ในราคาใกล้เคียงราคาตลาด แต่เป็นที่ทราบกันดีในวงการค้าข้าวว่า รัฐบาลระบายข้าวผ่านช่องทางแคบๆ ที่มีพ่อค้าเพียง 3-4 รายเท่านั้น รัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลการระบายข้าวดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้า ทั้งๆ ที่การระบายข้าวส่วนใหญ่เป็นการขายในประเทศ ไม่ต้องขายแข่งกับประเทศใด
การที่รัฐบาลยังคงปกปิดราคา และปริมาณการขายข้าว ชวนให้นึกว่าเป็นเหตุผลทางการค้าจริง หรือต้องการปกป้องใครบางคน
การขาดทุนจากการขายข้าวจำนวนมาก (7-10 ล้านตัน) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นเรื่องที่จะต้องมีการสอบสวนโดยเร่งด่วน
จริงอยู่รัฐบาลแก้ตัวว่า การขาดทุนส่วนหนึ่งเกิดจากการขายข้าวราคาถูกให้ผู้บริโภคและหน่วยราชการ รวมทั้งการบริจาคให้ต่างประเทศ แต่การศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ ของวุฒิสภา พบว่า ปริมาณข้าวถุงราคาถูกที่ส่งให้ร้านถูกใจอาจมีปริมาณเพียง 5-10% ของปริมาณข้าวถุงราคาถูกที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ (1.8 ล้านตัน) แปลว่า นอกจากข้าวถุงราคาถูกในร้านถูกใจแล้ว หน่วยงานรัฐขายข้าวทั้งหมด (7-10 ล้านตัน) ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดมาก
ดังนั้นจึงต้องมีการสืบสวนโดยเร่งด่วนว่า ทำไมหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์จึงขายข้าวในราคาต่ำกว่าตลาดมาก ขายให้พ่อค้าคนใด ราคาเท่าใดและจำนวนเท่าใด และได้รับเงินค่าขายข้าวหรือยัง กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถอ้างความลับทางการค้าเพื่อปฏิเสธการให้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะข้าวจำนวนนี้ขายไปหมดแล้ว และข้าวส่วนใหญ่ก็ขายในประเทศ
บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปีแล้ว ข้ออ้างเรื่องความลับทางการค้าฟังไม่ขึ้นอีกแล้ว ประชาชนเจ้าของเงินที่ใช้จำนำข้าวมีสิทธิ์ 100% ที่จะต้องได้ข้อมูลดังกล่าว
รัฐบาลต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะ “หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ออกใบเสร็จ” มีแต่คนนอกที่ไม่รู้ข้อมูล รัฐบาลเป็นเจ้าของใบเสร็จทุกใบ ป่วยการที่จะสั่งให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวนำใบเสร็จมาโชว์
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจะต้องเร่งสั่งการให้หน่วยงานรัฐส่งต้นขั้วใบเสร็จการระบายข้าวให้แก่ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการอิสระ เพื่อสอบสวนว่ามีการทุจริตกันอย่างไร แล้วนำเสนอรายงานต่อรัฐสภาโดยเร่งด่วน
ตีพิมพ์ครั้งแรก:เว็บไซต์คมชัดลึกออนไลน์ วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ในชื่อ ‘ทีดีอาร์ไอ’จี้ตั้งกก.อิสระสอบจำนำข้าว : รายงาน