เรียกร้องไทยเป็นสมาชิกอนุสัญญาต้านโกง

ปี2013-12-15

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)


ปล่อยคอร์รัปชั่นหนักข้อเรื้อรังเป็นปัญหากับประชาธิปไตยและบั่นทอนจริยธรรมของคนในสังคม ปธ.ทีดีอาร์ไอ แนะไทยเร่งเป็นสมาชิกอนุสัญญาต่อต้านการให้สินบนของ OECDเพิ่มความโปร่งใสก่อนไทยจะหมดเสน่ห์ดึงดูดการลงทุน หลังจากดัชนีคอร์รัปชั่นแย่ลงเรื่อย ๆ


ดัชนีการต่อต้านคอร์รัปชั่นของไทยตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนมาอยู่ที่อันดับ 102 จาก 177 ประเทศในปีนี้ สะท้อนความรุนแรงของปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะปัญหาคอร์รัปชั่นไม่เพียงมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นปมใหญ่ของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  กล่าวว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ จากที่เคยอยู่อันดับที่ 59 เมื่อหลายปีก่อน และมาอยู่อันดับที่ 88 ในปีที่ผ่านมา และปีนี้ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 102 จาก 177 ประเทศ  แย่กว่าประเทศโคลอมเบียซึ่งมีภาพลักษณ์ของดินแดนมาเฟีย มีปัญหาค้ายาเสพติด และต่ำกว่าอีกหลายประเทศในเอเชียที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา

แน่นอนว่า การมีคอร์รัปชั่นมากขึ้นจะส่งผลต่อประเทศหลายอย่าง ที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจซึ่งเป็นห่วงก้นว่าจะทำให้นักลงทุนไม่อยากมาลงทุน และยังมีผลกับปัญหาทางการเมืองที่เป็นความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน ที่เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากนักการเมืองมีปัญหาคอร์รัปชั่น ถ้าคอร์รัปชั่นหนักข้อขึ้นประชาธิปไตยก็เป็นปัญหา และที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะต้องพูดถึงคือ  คอร์รัปชั่นมีผลบั่นทอนจริยธรรมของคนในสังคมด้วย

ไม่มีประเทศใดเลยในโลกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาแล้วก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วขึ้นมาได้หากมีคะแนนการต่อต้านคอร์รัปชั่นอยู่อันดับแย่ ๆ เช่น ต่ำกว่า 4 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งประเทศไทยไม่เคยได้คะแนนเกิน 4 คะแนนเลย  ปัจจัยชี้ขาดที่จะทำให้ประเทศรายได้ปานกลางอย่างประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ นั่นคือ  จะต้องปราบคอร์รัปชั่นให้ได้   แต่ปัญหาที่เราเจอกันอยู่คือการเอาผิดกับผู้ทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นทำได้ยากมาก โดยเฉพาะผู้มีตำแหน่งสูง เท่าที่จำได้มีเพียงกรณีทุจริตยาของ นายรักเกียรติ สุขธนะ เท่านั้นที่มีการลงโทษได้  ขณะที่นักการเมืองอีกหลายคนที่มีคดีเกี่ยวกับการทุจริต เช่น คุณวัฒนา อัศวเหม ในคดีคลองด่าน คุณประชา มาลีนนท์  ในคดีรถดับเพลิง หรือกรณีของ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีหลายคดีเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่น บุคคลเหล่านี้ยังอยู่ต่างประเทศทั้งสิ้นยังไม่ต้องมาชดใช้กับเรื่องของคดีที่ตัวเองทำไว้

ดร.สมเกียรติ นำเสนอแนวคิดสมการคอร์รัปชั่นของ ศาสตราจารย์ Robert Klitgaardซึ่งจะทำให้เราเข้าใจปัญหาคอร์รัปชั่นและมีโอกาสแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้มากขึ้น โดยระบุว่า คอร์รัปชั่น (Corruption) จะขึ้นอยู่กับ  3 ตัว คือ ดุลพินิจ (Discretion) การผูกขาด (Monopoly) และกลไกความรับผิดชอบ (Accountability) เช่น ความโปร่งใส หรือสมการ C = D+M-A  กล่าวคือ หากดุลพินิจเยอะ คอร์รัปชั่นก็จะเยอะ  ขณะเดียวกัน หากการผูกขาดเยอะ มีโอกาสที่จะมีกำไรมหาศาล ล่อให้เกิดคอร์รัปชั่นได้  ส่วนกลไกความรับผิดชอบ หากมีกลไกความรับผิดชอบสูง มีความโปร่งใสมาก โอกาสจะเกิดคอร์รัปชั่นก็จะน้อย แต่ข้อนี้ประเทศไทยยังติดลบอยู่

ดังนั้นการลดคอร์รัปชั่นจึงต้องจัดการกับ 3 ตัวนี้ ซึ่งเสนอว่า ควรลดดุลพินิจ โดย กำหนดกรอบเวลาและจัดทำคู่มือพิจารณาใบอนุญาต  กรณีไม่อนุญาตก็ต้องอธิบายและเปิดเผยเหตุผลการไม่อนุญาต ควรลดการผูกขาดด้วยการเปิดเสรี ลดการผูกขาดเศรษฐกิจ  ยกเลิกโควตานำเข้าสินค้าต่าง ๆ  รัฐควรเลิกผูกขาดทางการค้าเช่น การค้าข้าว   ด้านกลไกความรับผิดชอบ ควรให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเป็นองค์กรอิสระไม่ถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองจึงช่วยลดคอร์รัปชั่นได้  นอกจากนี้ต้องเพิ่มความโปร่งใสโดยการแก้ไขกฎหมายข้อมูลข่าวสารของทางราชการให้เปิดเผยข้อมูลของรัฐมากขึ้น ถ้าประชาชนรู้เห็นอะไรแบบรัฐโอกาสทุจริตก็จะยากขึ้น  รัฐควรเปิดให้สังคมเข้าตรวจสอบได้ เช่น ยอมรับข้อตกลงคุณธรรมในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นได้เสนอว่าเวลารัฐจะทำโครงการขนาดใหญ่ของให้ภาคสังคมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูด้วย  อีกข้อเสนอที่สำคัญคือ  แก้กฎหมายให้คดีคอร์รัปชั่นไม่มีอายุความ  ซึ่งจะทำให้นักการเมืองซึ่งทำผิดแล้วหนีออกไปต่างประเทศแล้วหวังว่าเมื่อหมดอายุความแล้วจะกลับมาจะได้ไม่ทำแบบนี้อีก

ดร.สมเกียรติ เสนอแนวคิดที่สำคัญเพิ่มเติมว่า  ประเทศไทยควรเข้าเป็นสมาชิกของอนุสัญญาต่อต้านการให้สินบนของ OECDซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศแห่งหนึ่งที่มีกระบวนการในการตรวจสอบไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นข้ามประเทศได้ดี  หากประเทศไทยเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์กรนี้เราก็จะถูกตรวจสอบด้วย การทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะทำได้ยากขึ้น  และน่าสนใจว่าตอนนี้ประเทศอย่างโคลอมเบียก็ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของสัญญาต่อต้านคอร์รัปชั่นของ OECD เรียบร้อยแล้วในปีนี้  และที่จะตามมาก็คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านเรา ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะหากเขาเข้าไปเป็นสมาชิกก็จะมีความน่าเชื่อถือในเรื่องความโปร่งใสดีขึ้นนักลงทุนก็จะเลือกไปลงทุน  กรณีประเทศไทยหากปล่อยไว้อย่างนี้ตนคิดว่าประเทศไทยก็จะหมดเสน่ห์และคนไทยจะเดือดร้อนจากเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น.