สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2557 ที่ผ่านมา มูลนิธิเอเชียร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้จัดการสัมมนาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคในหัวข้อ “การปรับทัพ AEC ให้สอดคล้องกับ SMEs” หรือ “Making ASEAN Economic Community Work for SMEs” โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาประกอบด้วยผู้แทนของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และSMEs และนักวิชาการ รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ
นางเวอโรนิค ซัลส์-โลแซค (Véronique Salze-Lozac’h) ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการพัฒนาเศรษฐกิจ มูลนิธิเอเชีย กล่าวว่า มูลนิธิเอเชียมีความตั้งใจในการส่งเสริมกิจกรรม SMEs ในภูมิภาคอาเซียนและการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อ SMEs ภายใต้กรอบของ AEC ด้วยตระหนักดีว่าเอสเอ็มอีมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มีสัดส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากถึงร้อยละ 90 ของผู้ประกอบการทั้งหมด และมีการจ้างงานกว่าร้อยละ 60 ของการจ้างงานรวม สร้างเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32-50 ของจีดีพี แต่ที่ผ่านมาพบว่าในการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอีนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีส่วนร่วมน้อยมาก ส่วนใหญ่จึงยังมีปัญหา การขาดเงินทุน ข้อมูลในการทำธุรกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงในปี 2558 นี้
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปีหน้านั้น มีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสัมมนาครั้งนี้จึงเน้นการเสริมความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์อันสำคัญต่อเอสเอ็มอี ในการเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ AEC ทั้งในเชิงรุกในการไปทำธุรกิจทั้งในด้านการค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และเชิงรับในการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเข้ามาของธุรกิจของประเทศสมาชิก โดยการสัมมนาประกอบด้วย 4 หัวข้อหลักได้แก่ 1) การขยายตัวการค้าภายใต้ AEC 2) โอกาสการลงทุนใน AEC 3) การพัฒนา SME เพื่อรองรับ AEC และ 4) ประสบการณ์ของ SMEs ที่ประสบความสำเร็จในอาเซียน
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย การเปิดประชาคมอาเซียนถือเป็นความท้าทาย เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยควรเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้ เพราะตลาดภายนอกอย่างเออีซีมีแนวโน้มสดใสและภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ในขณะที่ตลาดภายในประเทศได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรดูลู่ทางการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน หรือในอาเซียนให้มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจในประเทศได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ดี
ด้าน ดร.ศก สีพนา (Dr.Sok Siphana) ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวปาฐกถาโดยมีสาระสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า โอกาสของเอสเอ็มอีในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้นอยู่ที่มุมมอง โดยส่วนตัวมองในแง่บวกว่าเออีซีคือโอกาส หากเอสเอ็มอีสามารถจัดวางตำแหน่งตัวเอง ในบริบทของเออีซีสำหรับเอสเอ็มอีคือเรื่องของการนำไปใช้ เป็นเรื่องการปฎิบัติซึ่งจะพบว่าตอนนี้แต่ละประเทศต่างพยายามกำหนดมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี(NBT)มากีดกันทางการค้า เช่น ในประเทศกัมพูชามี 14,000 รายการ ขณะที่ในประเทศลาวมีถึง 180,000 รายการ ซึ่งในอาเซียนก็ยังไม่มีฐานข้อมูลกลางที่จะรู้ได้ว่าในแต่ละประเทศมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอะไรบ้าง ประเทศต่าง ๆ จึงควรร่วมมือกันทำฐานข้อมูลเพื่อให้ผู้ประกอบการของแต่ละประเทศสามารถมาเรียนรู้เตรียมความพร้อมในการเข้าไปทำธุรกิจได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอสเอ็มอีจะต้องศึกษาให้ละเอียด ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ชัดเจนและแนวทางปฎิบัติในข้อกำหนดต่าง ๆ เพราะในบริบทเออีซีสิ่งที่เอสเอ็มอีเผชิญจะไม่เหมือนกับบริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
การเตรียมความพร้อมของเอสเอ็มอีของประเทศต่างๆในอาเซียน ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิด อย่ากลัวการเปิดเออีซี ต้องมองภาพใหญ่ที่เป็นโอกาสรออยู่ ต้องมองว่าทำอย่างไรเอสเอ็มอีจะสามารถผนวกตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของอาเซียนหรือของโลกที่มีการเติบโตมากขึ้นได้ในอนาคต นั่นคือต้องให้ความสำคัญกับการเข้าเป็นหุ้นส่วนกับผู้ประกอบการหรือบริษัทใหญ่ ๆ ที่ดำเนินการถูกต้องในประเทศนั้น ๆ หรือการจับคู่ธุรกิจแทนการไปเข้าไปแข่งขันซึ่งทำได้ยาก วิธีการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายระดับมหภาคได้
อย่างไรก็ตามหากเอสเอ็มอีมีการเตรียมความพร้อมที่ดี มีข้อมูล เข้าใจสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ และสิ่งที่จะทำให้เอสเอ็มอีอยู่รอดได้ในเออีซีคือการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและครบครัน จะทำให้เอสเอ็มอีมีศักยภาพ มีความคล่องตัวในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปลาใหญ่กินในที่สุด และนี่คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เอสเอ็มอีก้าวกระโดดหรือประสบความสำเร็จได้ในเออีซี.