แจกกล่องทีวีดิจิตอล 2 หมื่นล้าน… คิดดีแล้วหรือยัง?

ปี2014-05-22

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)


นักวิชาการกระตุก กสทช.  แจกคูปองทีวีดิจิตอล 2 หมื่นล้านอาจได้ไม่คุ้มเสีย

แนะดูตัวอย่างต่างประเทศเพื่อลดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น


ต่อประเด็นที่ กสทช. มีแนวคิดที่จะดำเนินการแจกคูปองแก่ทุกครัวเรือนเพื่อให้ไปซื้ออุปกรณ์สำหรับรับชมทีวีดิจิตอล โดยคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้น ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้ข้อคิดเห็นว่าแนวคิดการแจกคูปองสำหรับซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลให้แก่ทุกครัวเรือนของ กสทช. นั้นทำให้เกิดคำถามหลายประเด็น พร้อมทั้งยกตัวอย่างแนวทางการปฏิบัติของหลายประเทศที่น่าจะมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

ดร.สมเกียรติกล่าวว่า การประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ กสทช. มีรายได้จากการประมูลมากถึง 51,000 ล้านบาท จากที่คาดว่าจะมีรายได้อย่างน้อย 15,000 ล้านบาท  ด้วยรายได้ที่มากเกินคาด กสทช. จึงปรับเพิ่มราคาคูปองสำหรับซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล จากเดิมที่จะให้แลกได้เฉพาะกล่องรับสัญญาณ (set-top box) มูลค่า 690 บาทต่อใบ มาเป็นคูปองสำหรับกล่องรับสัญญาณ พร้อมสายอากาศ และส่วนลดสำหรับซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ระบบดิจิตอล เป็นประมาณ 1,200 บาทต่อใบซึ่งการเพิ่มมูลค่าของคูปอง อาจทำให้มีต้นทุนสูงประมาณ 27,000 ล้านบาท

ดร.สมเกียรติตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่า กสทช. มีหน้าที่ในการทำให้ประชาชนเข้าถึงการแพร่ภาพกระจายเสียง โดยเฉพาะบริการใหม่ๆ อย่างโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล แต่แนวคิดของ กสทช. ทำให้เกิดคำถามใน 4 ประเด็น กล่าวคือ

ประเด็นแรก ควรแจกคูปองให้กับทุกครัวเรือนหรือไม่  โดย ดร.สมเกียรติเห็นว่า การแจกให้กับทุกครัวเรือนจะใช้เงินค่อนข้างมาก เนื่องจากมีครัวเรือนตามสำมะโนประชากรถึง 22 ล้านครัวเรือน  ทั้งที่บางครัวเรือนอาจไม่ต้องการคูปอง เพราะสามารถรับชมโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลด้วยวิธีอื่น เช่น รับชมผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมหรือเคเบิลทีวี ได้อยู่แล้ว

ประเด็นที่สอง ควรแจกคูปองสำหรับการซื้อกล่องเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมหรือไม่  หาก กสทช. แจกคูปองในส่วนนี้ ดร.สมเกียรติชี้ว่าปัญหาที่จะตามมาก็คือ ในอนาคต เมื่อโทรทัศน์ชุมชนในระบบดิจิตอล เริ่มให้บริการ จะมีปัญหาว่าไม่สามารถรับชมช่องเหล่านี้ได้ เพราะในขณะนี้ยังไม่มีกฎว่าทีวีดาวเทียมต้องถ่ายทอดช่องบริการชุมชน

ประเด็นที่สาม มูลค่าของคูปองสูงเกินไปหรือไม่  ในประเด็นนี้ ดร.สมเกียรติชี้ว่า ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อกำหนดมูลค่าของคูปองไว้สูง ราคากล่องรับสัญญาณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยมีการศึกษาพบว่า ร้านค้าที่รับคูปองจะขายอุปกรณ์ในราคาสูงกว่าร้านค้าที่ไม่รับคูปองมาก ทั้งที่เป็นรุ่นคล้ายๆ กัน  ซึ่งหมายความว่าการแจกคูปองทำให้ราคาของอุปกรณ์สูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้ผลิตอุปกรณ์และร้านค้า ไม่ใช่ประชาชนที่ได้รับคูปอง  

และประเด็นที่สี่ การกำหนดมูลค่าของคูปองคงที่ตลอด 4 ปีนั้นเหมาะสมหรือไม่  ซึ่ง ดร.สมเกียรติระบุว่า ในกรณีของอังกฤษ ราคาของกล่องรับสัญญาณจะลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อการผลิตเพิ่มขึ้น 2 เท่า  ดังนั้น การกำหนดมูลค่าของคูปองตายตัว ในขณะที่กล่องรับสัญญาณมีราคาลดลง จึงเท่ากับเป็นการใช้เงินมากกว่าที่ควรจะเป็น

สำหรับวิธีการที่ กสทช. น่าจะนำมาพิจารณา ดร.สมเกียรติได้ยกตัวอย่างกรณีของสหรัฐอเมริกาที่ให้คูปองกับครัวเรือนที่ยื่นขอรับสิทธิ์เท่านั้น ขณะที่อังกฤษอุดหนุนค่าอุปกรณ์และค่าติดตั้งให้กับเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและผู้ที่ตกงาน เช่นเดียวกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ขณะที่ออสเตรเลียอุดหนุนค่าอุปกรณ์และค่าติดตั้งให้กับเฉพาะผู้สูงอายุที่รับบำนาญ ผู้พิการ และทหารผ่านศึก

นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศส่วนใหญ่ให้การอุดหนุนเฉพาะทีวีภาคพื้นดิน ไม่ได้อุดหนุนเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม โดยหากจะมีการแจกคูปองสำหรับกล่องรับเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม ก็มักจะแจกเฉพาะในกรณีของพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถรับสัญญาณทีวีภาคพื้นดินได้เท่านั้น

สำหรับข้อเสนอแนะ ดร.สมเกียรติเสนอว่า กสทช. ควรให้คูปองเฉพาะแก่ครัวเรือนที่ติดต่อขอรับเท่านั้น แทนการให้คูปองแก่ทุกครัวเรือน และควรให้คูปองเฉพาะกล่องรับสัญญาณสำหรับทีวีภาคพื้นดิน ไม่ควรให้คูปองสำหรับเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม ขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดมูลค่าของคูปองให้เหมาะสม ซึ่ง ดร.สมเกียรติแนะนำว่าควรศึกษาว่ามูลค่าของคูปองที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร

การดำเนินการตามแนวทางข้างต้น ดร.สมเกียรติเห็นว่าจะช่วยให้ กสทช. ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยที่ยังสามารถส่งเสริมความแพร่หลายของโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลได้ไม่แตกต่างจากวิธีการที่ กสทช. คิดจะดำเนินการ