ทีดีอาร์ไอชี้จุดอ่อนไทย ฉุดเม็ดเงินเอฟดีไอไหลเข้าน้อยกว่าศักยภาพ ทั้งที่ขนาดเศรษฐกิจโตกว่าสิงคโปร์ แต่รับเม็ดเงินเพียง 13.8% กระทุ้งรัฐเลิกกฎคุมภาคบริการ-เกษตร ด้านโบรกฯชี้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตอนนี้แค่น้ำจิ้ม วอนการเมืองจบ แรงซื้อจะกลับมามากกว่า
นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพอีกมากสำหรับการรับเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หากสามารถปิดจุดอ่อนที่มีอยู่ได้ เช่น ควรส่งเสริมการลงทุนในภาคบริการและภาคเกษตรให้มากขึ้น
จากปัจจุบันที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนในภาคผลิตเป็นหลัก หรือการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในสาขาเกษตร ซึ่งปัจจุบันเป็นสาขาที่สงวนให้คนไทยตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือการแก้กฎเรื่องสัดส่วนการจ้างงานที่ปัจจุบันใช้ 1 : 4 คือบริษัทที่มีพนักงานต่างชาติ 1 คน ต้องจ้างคนไทย 4 คน เป็นต้น
“ตลอด 8 ปีที่มีปัญหาทางการเมืองตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา ไทยได้รับส่วนแบ่งเงินลงทุนจากทั่วโลกที่เข้ามาในอาเซียนเพียง 13.8% ทั้งที่มีขนาดเศรษฐกิจหรือจีดีพีใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เทียบกับสิงคโปร์ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก แต่กลับมีส่วนแบ่งเอฟดีไอของอาเซียนมากถึง 49%”
สาเหตุหนึ่งคือนโยบายของไทยยังคุ้มครองผู้ประกอบการภาคบริการและเกษตรอยู่มาก จนเหมือนไม่รับเงินทุนต่างชาติในสาขาเหล่านี้ ทั้งที่ภาคเกษตรจ้างงานประชากรถึง 40% แต่รับส่วนแบ่งเอฟดีไอที่เข้ามาไทยเพียง 0.001% และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาคเกษตรไทยมีผลิตภาพแรงงานต่ำ เพราะแข่งขันน้อย
อย่างไรก็ตาม นางเดือนเด่นได้ชี้ด้วยว่า ไทยยังเป็นปลายทางแหล่งลงทุนของจีนมากที่สุดในอาเซียน โดยจีนแบ่งเงินทุนเข้ามาในไทยถึง 30% ท่ามกลางข้อจำกัดการลงทุนภายในจีน ทั้งเรื่องค่าแรง ค่าเช่าที่ดินที่สูงขึ้น
ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มีสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทย หลังจากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยเฉพาะในภาคบริการในกิจการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว โรงแรมมีแนวโน้มดีขึ้นแล้วตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงนี้ (ณ วันที่ 6 พ.ค.) ได้ปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อ 3 ม.ค. 57 ซึ่งมีดัชนีระดับ 1,224 จุด แล้ว 16%
ขณะที่นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนยังเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังขับเคลื่อนไปได้ ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ชะลอลงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แรงซื้อขายในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ไม่ได้เยอะมาก แม้จะมีแรงจากฟันด์โฟลว์เข้ามาหนุนจากการโยกเงินทุนไหลเข้าเอเชีย ซึ่งขนาดก็ไม่ใหญ่มาก และเป็นน้ำจิ้ม แต่เชื่อว่า หากปัญหาการเมืองจบ ย่อมจะเห็นแรงซื้อขายและเม็ดเงินที่ไหลเข้ามากกว่านี้
ส่วนการจัดงาน SET-Thai Corporate Day 2014 ระหว่าง 6-7 พ.ค. มีผู้ร่วมงานเป็นผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ 50 คน ผู้จัดการกองทุนในประเทศ 75 คน จาก 28 กองทุน และมีการพบปะของบริษัทจดทะเบียนกับนักลงทุนสถาบันกว่า 304 การประชุม
ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 8-11 พฤษภาคม 2557