ทีดีอาร์ไอมั่นใจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บมากขึ้น แนะใช้ ‘ภาษีติดลบ’ ลดเหลื่อมล้ำ

ปี2014-07-04

ศุลกากรหวังรายได้เข้าเป้า 1.3 แสนล้านบาท หลังดันเป็นวาระเร่งด่วน

“ทีดีอาร์ไอ” เสนอแนวทางลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ นำระบบอัตราภาษีติดลบมาใช้ โดยจ่ายเงินชดเชยให้ผู้มีรายได้น้อย โดยยึดจากเส้นความยากจนของ สศช. มั่นใจช่วยให้ระบบจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในระยะยาว “คลัง” ระบุ การเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อให้รายได้กรมศุลกากรเป็นไปตามเป้าที่ 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการลงทุนผ่านชายแดนศุลกากร ถือเป็นนโยบายที่”คสช.”ให้ความสำคัญ

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การปฏิรูปภาษีมี 2 วิธีคือ การปฏิรูปเพื่อหารายได้เพิ่มกับการปฏิรูปเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งวิธีหลังนั้น การจะทำให้ได้ผลมากสุด ควรนำระบบภาษีติดลบ หรือ Negative Income Tax มาใช้

สำหรับระบบภาษีติดลบนั้น วัตถุประสงค์หลักคือการจ่ายเงินไปสู่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นวิธีค่อนข้างง่าย เพราะสามารถใช้วิธีให้คนที่มีรายได้น้อยแจ้งหรือยื่นแบบ รายได้มายังกรมสรรพากรได้ว่า ในแต่ละเดือน ตัวเองมีรายได้เท่าไร หากต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็จะได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐ “ก็ทำเหมือนกับการยื่นแบบภาษีปกติ แต่แทนที่เมื่อยื่นแล้วต้องเสียภาษี ก็จะ ได้เงินชดเชยมาแทน ซึ่งต่างประเทศก็ทำกัน” นายสมชัยกล่าว ส่วนข้อดีของการใช้ระบบภาษีติดลบ คือ สามารถดึงทุกคนให้เข้าสู่ระบบภาษีได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปคนที่เคยได้เงินชดเชยภาษีจากการมีรายได้ต่ำ หากในอนาคต เขามีรายได้ขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็จะทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีของไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลักจากจึงเป็นเรื่องที่ดี

นายสมชัย กล่าวด้วยว่าการจะทำเรื่องนี้ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อบังคับให้ทุกคนที่มีรายได้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยต้องยื่นแบบแสดงรายได้เข้ามาที่กรมสรรพากร และต่อให้ไม่มีรายได้เลยก็ควรต้องยื่นเข้ามา สำหรับนิยามของคนที่จะได้รับเงินชดเชยจากการมีรายได้น้อย ก็อาจใช้นิยามเส้นความยากจนที่ทางสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำการศึกษาออกมาก็ได้ กล่าวคือ สศช. ได้ศึกษาพบว่าคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละประมาณ 2,400 บาท ถือเป็นคนจน ซึ่งถ้าเราใช้เกณฑ์นี้ก็ใช้วิธี จ่ายเงินให้กับคนที่มีรายได้ต่ำกว่าตรงนี้ ซึ่งเท่าที่คำนวณดูคร่าวๆ จะใช้เงินเพียง 2-3 หมื่นล้านบาทเท่าไร

หากต้องการให้ผู้ได้รับเงินชดเชยมีเงินเหลือเพียงพอที่จะนำเงินไปใช้สำหรับในด้านการศึกษาแก่ลูกหลานซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นที่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในอนาคต ลงได้ ก็อาจจะต้องยอมจ่ายในระดับที่สูงขึ้นกว่าเส้นความยากจน วิธีการก็อาจใช้การกำหนดการจ่ายเงินชดเชยไปเลยก็ได้ว่า แต่ละปีจะจ่ายเงินชดเชยไม่เกินปีละเท่าไร เช่น ไม่เกินปีละ 1-2 แสนล้านบาทเป็นต้น

“ที่ผ่านมาเราเสียเงินไปให้กับคนที่ไม่สมควรได้รับเยอะมาก เพราะโครงการประชานิยมในหลายๆ โครงการ ผมคิดว่าหลายคนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่คนยากจน ดังนั้นการจัดระบบสวัสดิการควรต้องทำให้มั่นใจว่า คนที่ได้เป็นคนจนและต้องได้อย่างถ้วนหน้า” นายสมชัยกล่าว สำหรับการหาเงินเพื่อมาจ่ายชดเชยระบบอัตราภาษีติดลบนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะแค่ปรับอัตราภาษีเพียง 2-3 ตัว ก็ทำให้ภาครัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีจากการซื้อขายหุ้นเป็นต้น

ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากรเปิดเผยว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของกรมฯถือเป็นงานเร่งด่วนหลังจากรับตำแหน่งที่ตนต้องดำเนินการเป็นลำดับแรก โดยขณะนี้ เหลือเวลาอีกประมาณ 2-3 เดือนกว่าจะสิ้นปีงบประมาณ จึงจะพยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยเป้าหมายการจัดเก็บของกรมฯอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. ในเรื่องการเตรียมตัวเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะการจัดทำระบบ National Single Window (NSW) เพื่อเชื่อมโยงระบบการให้บริการนำเข้าและส่งออกทางอิเล็กทรอนิกส์ ของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ

ขณะเดียวกัน จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ และได้เสนอเป็นโรดแมพต่อคสช.ในเบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้ กรมฯยังได้เสนอของบประมาณ เพื่อดำเนินการจัดสร้างด่านศุลกากรตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าและการลงทุนที่จะมีมากขึ้น โดยขณะนี้ ได้รับอนุมัติงบจำนวนหนึ่ง เพื่อดำเนินการก่อสร้างด่านจำนวน 10 ด่านแล้ว

“ยกตัวอย่างของการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชน คือ กรณีทำผิดแบบ ไม่ตั้งใจเล็กน้อยก็ปรับเท่ากับตั้งใจ 4 เท่าของราคารวมภาษีอากรส่วนที่ขาดเท่ากัน ก็ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรม ก็ต้องปรับให้ยืดหยุ่นระหว่างค่าปรับ 0-4 เท่า และมีประเด็นที่ต้องอธิบายคสช.ให้เข้าใจ” เขากล่าว

นายสมชัย ยังกล่าวถึงการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลางจำนวน 357 คัน เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.) ด้วยว่า คาดจะได้เงินจากการประมูล เข้ารัฐประมาณ 600 ล้านบาท แต่ช่วงแรกการประมูลไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีราคาแพง เช่น ยี่ห้อ Lamborghini ซึ่งกรมฯ นำมาขายทอดตลาดจำนวน 1 คัน ในราคากลาง เปิดประมูล 19.05 ล้านบาท แต่มีผู้เสนอราคาประมูลต่ำกว่าราคากลาง ทำให้ไม่สามารถขายทอดตลาดออกไปได้ อาจเป็นผลจากมาตรการของกรมสรรพากรที่มีแนวทางเข้าตรวจสอบภาษี ผู้ที่มีบ้านราคาแพงและรถยนต์หรู เป็นต้น

 


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 4 กรกฎาคม 2557