แนะแก้กฎหมายคุมประชานิยม พรรคการเมืองแจงต้นทุนหาเสียง ใช้เงินจากที่ไหน

ปี2014-11-18

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลควรพิจารณาออกกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมการใช้นโยบายประชานิยม ตั้งแต่การเลือกตั้งจนถึงการบริหารประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ฐานะการคลังของประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้นในอนาคต โดยเริ่มแรกควรแก้กฎหมายการเลือกตั้ง กำหนดให้พรรคการเมืองต้องแจ้งต้นทุนทางการคลังของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งต่อประชาชน อย่างน้อย 30 วันก่อนวันลงคะแนน โดยแจ้งแหล่งที่มาของเงินทุนในการดำเนินนโยบายนั้นว่า จะมาจากที่ใด เช่น การขึ้นภาษีใดหรือกู้ยืมอย่างไร เพื่อให้ประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงได้ทราบต้นทุนของนโยบาย และสร้างความรับผิดชอบให้แก่พรรคการเมือง และเมื่อพรรคการเมืองดังกล่าวได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล จะต้องมีข้อกำหนดห้ามมิให้ใช้เงินทุนในการดำเนินนโยบายนั้นเกินกว่าจำนวนที่แจ้งไว้

ขณะเดียวกันควรมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่เป็นธรรมนูญการคลัง โดยกำหนดให้การจ่ายเงินแผ่นดิน ต้องทำตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อป้องกันการใช้เงินนอกงบประมาณ เพราะการใช้เงินนอกงบประมาณจะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ โดยอาจบัญญัติในลักษณะที่คล้ายกับวรรคแรกของมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แต่ควรเพิ่มนิยามของคำว่าเงินแผ่นดินเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และลดปัญหาในการตีความ

รวมทั้งต้องมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้การตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการคลังในด้านต่าง ๆ รวมถึงหลักเกณฑ์การวางแผนการเงินระยะปานกลาง การบริหารการเงินและทรัพย์สิน กองทุนสาธารณะ การก่อหนี้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สิน หรือภาระทางการเงินของรัฐ และเร่งรัดการตรากฎหมายดังกล่าวทันที เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ควรจัดตั้งสำนักงบประมาณแห่งรัฐสภา (พีบีโอ) ขึ้นเป็นหน่วยวิเคราะห์งบประมาณและการคลังของรัฐสภาที่เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชน มีข้อมูลการวิเคราะห์ผลกระทบทางการคลัง และผลกระทบทางเศรษฐกิจของการใช้เงินแผ่นดินของฝ่ายบริหาร โดยทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค ฐานะการคลังภาครัฐโดยรวม ต้นทุนการคลังของมาตรการที่สำคัญ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของมาตรการที่สำคัญ ขณะที่ระยะยาว ควรมุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง และจัดให้มีสวัสดิการแก่ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆด้วย

“ในช่วงของการปฏิรูปคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรควรที่จะมีการวางกลไกทางกฎหมายเพื่อสกัดกั้นนโยบาย ซึ่งมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว นอกจากนั้นต้องมีการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น โดยเพิ่มกลไกตรวจสอบถ่วงดุลโดยรัฐสภา ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยทางการคลังจากการสร้างกฎกติกาต่าง ๆ ด้วย”

นายสมเกียรติกล่าวว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องในหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่การพัฒนาดังกล่าวทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระดับสูง โดยหากประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระดับสูงต่อไป ก็จะมีแรงกดดันให้เกิดการกระจายรายได้ในรูปของการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ตลอดจนการใช้นโยบายที่เรียกว่านโยบายประชานิยมเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการออกกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมการใช้นโยบายประชานิยมตั้งแต่ต้นเพื่อแก้ไขปัญหา

“แม้กฎหมายรัฐธรรมนูญชั่วคราวจะให้อำนาจกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญวางกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่การแก้กฎหมายเพื่อสกัดกั้นประชานิยมมีข้อจำกัด เนื่องจากในหลายกรณีนโยบายประชานิยมจะเกิดผลเสียหายในระยะยาว รวมทั้งการตีความ หากต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็เท่ากับว่าศาลต้องใช้ดุลพินิจ”

 


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2557