‘อัมมาร’ แนะแก้สองปัจจัยกระทบงบ ‘ประกันสุขภาพ’

ปี2014-12-11

นับจากวันเริ่มจัดตั้ง “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” เมื่อปี 2545 ปัจจุบันนี้ระบบดังกล่าวได้ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 13 แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีความขัดแย้งทั้งภายในระบบและนอกระบบเกี่ยวเนื่องกันหลายเรื่อง ซึ่งสุดท้ายแล้วผลกระทบย่อมตกอยู่กับประชาชนในการเข้ารับบริการ

จากปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจึงนำมาสู่การปฏิรูประบบสุขภาพในครั้งนี้ ซึ่งที่ผ่านมามีข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นคือ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่ติดตามนโยบายที่ถูกตีตราว่าเป็นนโยบายประชานิยมในยุคแรกเริ่ม ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้รับเชิญไปร่วมบริหารจัดการงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในช่วงเริ่มต้น มุมมองของเขาเกี่ยวกับการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งทิศทางของระบบสาธารณสุขที่ควรเดินไป จึงเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้

มีความเห็นอย่างไรต่อกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปัจจุบัน
เป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยสำหรับประชาชนที่ได้รับความอุ่นใจค่อนข้างมากในการเข้าถึงการรักษา โดยเฉพาะโรครุนแรง อย่างโรคหัวใจ มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่อเนื่อง ช่วยให้ความเจ็บป่วยที่เกิดกับกระเป๋าสตางค์ประชาชนลดลงไปด้วย และเป็นการลดภาวะการล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล

ตรงนี้มีข้อมูลประจักษ์ชัดเจน ผู้ป่วยได้รับการรักษาและมีโอกาสรอดชีวิตจากภาวะความเจ็บป่วยมากขึ้น

ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นภาระทางงบประมาณหรือไม่
เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ผ่านมายังเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณจำกัดจำเขี่ยมากเกินไป ซึ่งข้อกล่าวหานี้ควรเป็นระบบรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการที่ใช้งบประมาณจำนวนมากเมื่อคิดหัวเฉลี่ยต่อคน และแม้ว่า 3 ปีที่ผ่านมาจะมีความพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ก็ยังสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ขณะที่ความกังวลต่อภาระงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในอนาคตนั้น จากการคำนวณพบว่า ไม่มากเท่าไหร่ แต่หากจะลดงบประมาณควรดำเนินการในส่วนของสวัสดิการข้าราชการมากกว่า
อย่างไรก็ตามเท่าที่ติดตามพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาระงบประมาณ คือ 1.โครงสร้างประชากรที่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ภาระรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น

และ 2.เงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร ยกเว้นค่าตอบแทนที่ใช้เงินบำรุง โรงพยาบาล หากรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเงินเดือน ซึ่งรัฐต้องเพิ่มเติมงบประมาณในส่วนนี้ แต่ที่ผ่านมากลับคงอัตรางบเหมาจ่ายรายหัวคงที่ ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระงบประมาณเพิ่มเติม

ทิศทางระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากนี้ควรเป็นอย่างไร
ภาระค่ารักษาโรครุนแรงที่ประชาชน ต้องแบกรับได้ทุเลาไปมาก โดยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจ แต่ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนา อย่างเช่นบริการปฐมภูมิโดยเฉพาะเขตเมือง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต่างมุ่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง ส่งผลให้คนที่อยู่ในเมืองเข้าไม่ถึงการรักษา แม้ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคพื้นๆ

ดังนั้นจึงควรมีการขยายบริการปฐมภูมิในเขตเมืองโดยประสานกับ อปท. (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) หรือเอกชน พร้อมกันนี้ต้องจัดระบบการรักษาพยาบาลที่ดี เพื่อให้คนต่างจังหวัดรักษายังโรงพยาบาลชุมชนมากขึ้น ไม่ใช่ไหลเข้าเมืองทั้งหมด

ผมคิดว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดีอยู่แล้ว การยกเลิกคงเป็นไปไม่ได้ และทางการเมืองไม่มีทางเกิดขึ้น แต่เมื่อมีแล้วจะมุ่งหน้าอย่างไร ยอมรับว่าหลังมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า งบลงทุนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลดลงไปมาก ส่งผลต่อการบริการประชาชน รัฐต้องใส่งบเพิ่มเติมส่วนนี้จึงนำมาสู่ข้อเสนอปรับจัดสรรงบเหมาจ่ายขาลง และเกิดข้อถกเถียงระหว่าง สธ. และ สปสช.ขณะนี้

แต่ผมมองว่า ไม่ว่าเงินจะอยู่ไหน ไม่ควรเป็นประเด็นหลัก แต่ควรตั้งโจทย์ว่าจะจัดบริการอย่างไรจึงเหมาะสม และประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด

ขณะนี้ สธ.และสปสช.เกิดความ ขัดแย้งจัดสรรงบประมาณ
เป็นการแย่งอำนาจบริหารมากกว่า ดูแล้วเป็นแบบนั้น และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพราะ 2 ฝ่ายต่างมีทิฐิ มองว่าเป็นสัมมาทิฐิที่ต่างประสงค์ดี ซึ่งต้องดูว่าทำไม 2 สัมมาทิฐิ จึงขัดแย้งกัน จะบริหารอย่างไรไม่ให้ขัดแย้ง ซึ่งควรมีการฟันธงว่าใครเหมาะสมที่จะเป็น ผู้จัดการงบประมาณ

ความขัดแย้งนี้มีคนเคาะได้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข การเคาะต้องไม่ใช่เหตุผลการเมืองว่า ใครมีเสียงข้างมาก แต่ต้องดูว่าการบริหาร สธ.หรือ สปสช. โจทย์คืออะไร และอะไรให้ประโยชน์ประชาชนมากที่สุด

ในแง่การบริหารหากรัฐไม่เพิ่มงบลงทุน ปัญหาขัดแย้งก็จะคงอยู่ต่อไป
การลงทุนมีความจำเป็น เป็นตัว หล่อลื่นให้ความขัดแย้งลดลงได้ แต่ต้อง ไม่ใช่การลงทุนเพื่อเอาใจผู้เสียประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งต้องการลงทุนเพิ่ม แต่ขณะเดียวกัน สธ.ต้องไม่หวงก้างประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยนอกที่ดึง ผู้ป่วยไว้ที่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เนื่องจากกลัวงบเหมาจ่ายจะไหลออก แต่ต้องให้ท้องถิ่นและเอกชนมีส่วนร่วมจัดบริการ ผู้ป่วยนอก

มีความเห็นอย่างไรกับเขตบริการสุขภาพ สธ. และข้อเสนอจัดสรรงบเหมาจ่ายไปยังเขต
เรื่องนี้เป็นการบริหารจัดการ ผมไม่รู้ แต่ผมอยากรู้ว่า สธ.จะทำอะไรให้กับประชาชนจากเขตสุขภาพนั้น และทำอย่างไรให้เกิดผลดี เช่นถ้าผมจะหาเสียงกับประชาชน ผมจะสัญญากับประชาชนว่าเวลาไปหาหมอ ผู้ป่วยจะรอไม่เกิน 2 ชั่วโมง และหมอต้องมีเวลาให้ผู้ป่วยอย่างน้อย 15 นาที สธ. ทำได้หรือไม่ เพราะเรามีหมอเต็มบ้านเต็มเมือง จะดึงเขามาช่วยอย่างไร แต่ที่ผ่านมา สธ. วิพากษ์วิจารณ์เอกชนไม่ดี ทั้งที่มีอำนาจ ในการกำกับ

สิ่งที่ผมเห็นตั้งแต่อยู่ สปสช. คือ สธ.วิตกและหวงแหนโรงพยาบาลในสังกัด 800 แห่งมากไป โรงพยาบาลบางแห่งต้องดูแล อย่างโรงพยาบาลจำเพาะอย่าง ห่างไกล ทุรกันดาร ประชากรน้อย ต้องมีงบประมาณเพื่อดูแลโดยตรง ซึ่งที่เหลือต้องผ่องถ่ายออกไปให้กับ อปท.หรือในรูปแบบโรงพยาบาลบ้านแพ้ว

นี่คือมุมมองของ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อัมมาร ต่อการพัฒนาระบบประกันสุขภาพ ส่วนการปรับปรุงแก้ไขจะถึงขั้นปฏิรูปหรือไม่นั้น คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ เจ้ากระทรวงทุบโต๊ะตัดสิน แต่อาจอยู่ที่การจัดการความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานให้ได้เสียก่อน หากทำได้เมื่อไร เมื่อนั้นก็จะเป็นจุดตั้งต้นแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน

 


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 ธันวาคม 2557