เดินหน้าให้ถูกทิศ เขตเศรษฐกิจพิเศษ

ปี2016-01-12

“เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ”… ทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง เงื่อนปมสำคัญที่ทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความสนใจ เสนอไว้ให้รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน

saowaruj-portrait
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เห็นชอบ โดยมีพื้นที่เป้าหมายระยะที่ 1 และ 2 ใน 10 จังหวัดชายแดน และมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 13 สาขาสำหรับระยะที่ 1 ซึ่ง…ส่วนหนึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง อัญมณีและเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก

อย่างที่พอจะรู้กันมาบ้างในแวดวง…กิจการที่อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างมากทั้งจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และหน่วยงานอื่นๆ โดยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในกรณีที่เป็นกิจการเป้าหมาย ได้แก่

(1) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และนับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ ยังได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุน ในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 5 ปี

(2) ได้รับอนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้าและค่าประปา 2 เท่าเป็นเวลา 10 ปี

(3) ได้รับอนุญาตให้หักเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกร้อยละ 25 ของเงินลงทุน

(4) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร

(5) ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นสำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา 5 ปี

(6) ได้รับอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ และในกรณีที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ กิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกระทรวงการคลังในการลดหย่อนภาษี นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 10 ปี

นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแล้ว กิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการกู้ดอกเบี้ยต่ำรายละไม่เกิน 1-20 ล้านบาท

การใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือซึ่งเดินทางเข้ามาทำงานแบบไปเช้า…เย็นกลับหรืออยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน ความสะดวกที่จะได้รับจากศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน…จะพิจารณาอนุมัติภายใน 40 วันทำการ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข การตรวจคนเข้าเมือง…จะพิจารณาอนุมัติภายใน 1 วันทำการ และการดำเนินกิจการในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร

ในปี 2558-2559 น่าสนใจว่า…สำหรับ SEZ ระยะที่ 1 ภาครัฐมีโครงการลงทุนในวงเงิน 10,000 ล้านบาท

ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ บอกว่า การใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีหลายอย่างที่ควรปรับปรุง โดยจะเห็นได้ว่า…รัฐบาลพยายามส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

แต่คำถามคือ…การมีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะทำให้ประเทศไทยสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้จริงหรือ

“เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษไม่ได้ถูกออกแบบอย่างมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่า จะช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้หนุนเสริมกันได้อย่างไร โดยประเทศไทย…ประเทศเพื่อนบ้านควรหารือเพื่อพัฒนาร่วมกัน”

ดร.เสาวรัจ ย้ำว่า สิทธิประโยชน์สูงสุดของภาครัฐที่ให้แก่กิจการเป้าหมายซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และการอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศที่ต้องการหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง

“จำเป็นต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยเน้นการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่มีแรงจูงใจในการปรับตัวไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น”

นอกจากนี้ การที่ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ถูกออกแบบมาเพื่อให้แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาแรงงานต่างด้าวได้ ตราบใดที่นโยบายแรงงานต่างด้าวในระดับชาติยังไม่มีความชัดเจนและไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

ในข้อเท็จจริงมีว่า…การใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นน่าจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากว่า…ถึงอย่างไรประเทศไทยจะมีค่าแรงที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและการส่งออกจากประเทศไทยจะไม่ได้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไปยังตลาดหลัก การศึกษาของทีดีอาร์ไอเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตเครื่องนุ่งห่มในประเทศไทย ลาวและกัมพูชา พบว่า ต้นทุนการผลิตในไทยสูงกว่าลาวและกัมพูชาถึงร้อยละ 15 เนื่องจากต้นทุนค่าแรงในไทยสูงกว่า และไทยไม่ได้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) จากประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป

ดังนั้น จะมีเพียงผู้ประกอบการที่ผลิตเพื่อขายในประเทศที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ…หากประเทศไทยต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แทนที่จะใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

หมายความว่า …รัฐบาลควรแปลงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เป็น “เขตนวัตกรรมพิเศษ” (Special Innovation Zone : SIZ) โดยเน้นอุตสาหกรรมที่อยู่บนฐานความรู้ (knowledge-based sector) เช่น ซอฟต์แวร์ การออกแบบ การวิจัยและพัฒนา โดยต้องเน้นแรงงานมีทักษะสูงต่างชาติ เช่นโปรแกรมเมอร์ หรือนักวิชาชีพต่างชาติทำงานในไทยได้โดยง่าย แทนการใช้แรงงานทักษะต่ำจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ซึ่งรัฐบาลควรดำเนินการต่อไปก็คือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาจังหวัดชายแดนในฐานะเป็นประตู (gateway) สู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถนน การปรับปรุงด่านชายแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น…รองรับการขนส่งสินค้าผ่านแดนจำนวนมากได้

โดยแยกกันชัดเจนระหว่างด่านตรวจคนเข้าเมือง…ด่านตรวจสินค้า รวมถึงการสร้างศูนย์บริการเบ็ดเสร็จเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า…การลงทุน ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมบริการทางการค้าชายแดนที่สำคัญ

ที่ลืมไม่ได้…คือ การจัดตั้ง “ศูนย์โลจิสติกส์กระจายสินค้า” เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูง…การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่นำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาแปรรูปเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีสินค้าเป็นศูนย์ของประเทศเพื่อนบ้านภายในปี 2561…จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ฝากทิ้งท้ายว่า เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ… เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางนโยบาย แต่ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน…จะช่วยให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นได้


 

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยรัฐ เมื่อ 12 มกราคม 2559 ในชื่อ เดินหน้าให้ถูกทิศ เขตเศรษฐกิจพิเศษ