tdri logo
tdri logo
27 ธันวาคม 2016
Read in Minutes

Views

แนะรัฐเร่งยุทธศาสตร์ ‘ชาติการค้า’ หนุนเอกชนลงทุนอาเซียน

สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “อาเซียนและโอกาสทางธุรกิจของไทย” โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน เข้าร่วม

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันทีดีอาร์ไอ กล่าวว่าจากการศึกษาการค้า และการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศและกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม พบว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศนี้ในภาพรวมอนาคตมีแนวโน้ม ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเฉลี่ย ปีละ 7-8% ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563

ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทย จะขยายตัวได้ปีละประมาณ 3% เศษ เนื่องจากอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนนอกประเทศไทยมีความน่าสนใจมากกว่าการลงทุนในประเทศ

นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมในอาเซียนยังมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่เอื้อต่อ การเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น ชนชั้นกลาง ในอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็วตามการเติบโต ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมืองใหม่ๆ โดย Economic Intelligence Unit ประมาณการว่าภายใน ปี2573 จะมีครัวเรือน ที่มีรายได้มากกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มขึ้นในเมืองสำคัญ ของอาเซียนเช่น จาการ์ตา อินโดนีเซีย จะมีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น จาก 4 ล้านครัวเรือน เป็น 12 ล้านครัวเรือน มะนิลา ฟิลิปปินส์ จะมีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านคน เป็น 7.8 ล้านครัวเรือน

12-27-2016 8-57-27 AM

ในกรุงเทพฯชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้น จาก 2.2 ล้านครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 5.7 ล้านครัวเรือน และฮานอย เวียดนาม จะมีจำนวนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านครัวเรือนในปัจจุบัน เป็น 8.1 ล้านครัวเรือน ซึ่งจะสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการลงทุนมากตามการขยายตัวของ ชนชั้นกลางที่วิถีชีวิตจะปรับเปลี่ยนไปจาก ในอดีตทำให้ธุรกิจบริการ ค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชนชั้นกลางเติบโตอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่าบริษัทของไทย ที่มีการขยายการลงทุนไปยังประเทศ อาเซียนและซีแอลเอ็มวีแล้วส่วนใหญ่ มีผลประกอบการที่เติบโต โดยจากบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 516 บริษัทมีการลงทุนในอาเซียน 123 บริษัท โดยมีการเข้าไปจดทะเบียนถือหุ้น และ ตั้งบริษัทย่อยต่างๆในอาเซียนถึง 600 บริษัท ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายทั้งพลังงานสาธารณูปโภค อาหารเครื่องดื่ม ธุรกิจการค้าพาณิชย์ ปิโตรเคมี-เคมีภัณฑ์ บันเทิงและรับเหมาก่อสร้าง

“โดยเฉลี่ยบริษัทที่ลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่เฉลี่ย 11.1% ขณะที่กลุ่มบริษัทที่ลงทุน ในอาเซียน (ไม่รวมอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 8.1%”

12-27-2016 9-00-51 AM

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า จากโอกาสในการลงทุนในอาเซียนที่ยังคงเปิดกว้างทำให้มีความจำเป็นที่ประเทศไทยควรมีการกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมายและยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนของประเทศไทยในอาเซียนให้มีความชัดเจน

ในส่วนแรกจำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำ “ชาติการค้า” ของอาเซียนในปี 2564 และ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการส่งออกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการส่งออกต่อจีดีพีของไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 40.4% และแทบจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นเลย

ขณะที่หลายประเทศมีสัดส่วนมูลค่าดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนสูงกว่าไทย เช่น สิงคโปร์อยู่ที่ 57.6% และเวียดนามอยู่ที่ 42% สะท้อนว่าการส่งออกของเราไม่ได้รับการพัฒนา หรือแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง

12-27-2016 9-07-36 AM

สำหรับยุทธศาสตร์โดยรวมที่ประเทศไทยต้องมีการปรับปรุงเพื่อยกระดับการเป็นชาติการค้าชั้นนำของอาเซียน จำเป็นที่จะต้องวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนโดยเน้นการ ปรับวิธีการส่งเสริมการค้า-การลงทุน ในเชิงรุก มากขึ้น เช่น การวินิจฉัยความพร้อมของผู้ประกอบการว่ามีความพร้อมสำหรับทำการค้าและลงทุนในต่างประเทศมากน้อยเพียงใดโดยทั้งเรื่องทุน คุณภาพสินค้า การผลิตสิ่งของได้ตรงตามเวลา และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในเมืองหลักและเมืองรอง ที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับปรุงข้อมูลจัดทำฐานข้อมูลการค้าการลงทุน (Big Data) ของทุกชาติในอาเซียนเพื่อให้ผู้ประกอบการมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องเป็นข้อมูลในการลงทุน

“ข้อเสนอหนึ่งที่เป็นรูปแบบส่งเสริม การลงทุนในต่างประเทศซึ่งประเทศญี่ปุ่น ใช้ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเจโทรใช้ได้ผลคือการให้ผู้ประกอบการไปฝังตัวในประเทศนั้นๆก่อนที่จะมีการลงทุนจริงเพื่อให้ศึกษาตลาดและประเมินความเป็นไปได้ในการส่งออก หรือการลงทุน ซึ่งประเทศไทยก็ควรมีโครงการในลักษณะเดียวกันโดยคัดเลือก ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและเข้าไป ฝังตัวในประเทศเป้าหมายที่จะเข้าไปลงทุน” ดร.สมเกียรติ กล่าว

ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า โอกาสทางธุรกิจในอาเซียนนับว่ายังเปิดกว้างที่จะให้ภาคเอกชนของไทยไปลงทุน โดยธุรกิจที่ยังสามารถเข้าไปลงทุนในอาเซียนทุกประเทศได้ ประกอบไปด้วย อาหารแปรรูป การส่งออกผักผลไม้พรีเมียม สินค้าอุปโภค-บริโภคที่สินค้าไทยได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพ ขณะที่โรงพยาบาล และร้านอาหารยังมีความต้องการใน เมืองใหญ่ๆจำนวนมาก ขณะเดียวกันธุรกิจที่สามารถลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านได้และมีโอกาสที่จะเติบโตได้มาก ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน วัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์สไตล์ การขนส่ง การผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมาก อุตสาหกรรมไอที และธุรกิจการศึกษา และการฝึกอบรมบุคลากร เป็นต้น

ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การวางยุทธศาสตร์และแผน การลงทุนในอาเซียนของเอกชนไทย ในกลุ่มประเทศอาเซียนรวมทั้งใน กลุ่มซีแอลเอ็มวีจะต้องดำเนินการใน เชิงรุกอย่างรวดเร็วเนื่องจากในขณะนี้ ทั้งจีนและสหรัฐเตรียมที่จะใช้การค้าเป็นยุทธศาสตร์นำในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะจีนที่จะมีการกระจายการลงทุนไปในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งในอาเซียนอีกมาก

นายนพพร กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยเหลือเวลาอีก 2-3 ปีเท่านั้นในการออกไปลงทุนในอาเซียนหลังจากนั้นการแข่งขันในเวทีการค้าภูมิภาคจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งไทย ก็ต้องหาทางรองรับสถานการณ์ที่กำลัง จะเกิดขึ้น และสร้างสมดุลของนโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนจากภายนอกประเทศ และการปกป้องการค้าและการลงทุนในประเทศให้กับผู้ประกอบการไทย

“ทางรอดของประเทศไทยในการส่งออก ต้องเร่งปรับบทบาทของประเทศไทยให้เป็นชาติการค้า และวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนสามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละประเทศ และแต่ละตลาดได้ อย่าดูแต่เพียงตัวเลขว่ามูลค่าการส่งออกแต่ละปีเพิ่มขึ้นเท่าไร”


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ ในชื่อ แนะรัฐเร่งยุทธศาสตร์’ชาติการค้า’ หนุนเอกชนลงทุนอาเซียน เมื่อ 20 ธันวาคม 2559

นักวิจัย

ดร. เสาวรัจ รัตนคำฟู
ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด