tdri logo
tdri logo
20 ธันวาคม 2017
Read in Minutes

Views

ดร.วรวรรณ แนะรับมือค่าใช้จ่ายดูแลผู้สูงวัย ด้วยระบบประกันการดูแลระยะยาว

วันที่ 19 ธ.ค. 2560 มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จัดงาน ‘งานกับอุดมคติของชีวิต’ ในโอกาสครบ 10 ปี การจากไปของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ โดยมีการเสวนา หัวข้อ สานฝัน สร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อประชาชนถ้วนหน้า ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวชั่น กรุงเทพฯ

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงความท้าทายในการขับเคลื่อนการสร้างหลักประกันสุขภาพประชาชน อนาคตอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยการเงินการคลัง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย ซึ่งกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย คือ ให้มีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ผ่านระบบการให้บริการของประกันการดูแลระยะยาว โดยจะเก็บเบี้ยประกันจากประชากรวัยทำงาน วัย 40-65 ปี ปีละ 500 บาท และปรับขึ้นครั้งละ 500 บาท ทุก ๆ  5 ปี เพื่อจะช่วยให้ระบบยั่งยืนอยู่ได้

ทั้งนี้ เมื่อผู้สูงอายุได้รับการรับรองจากแพทย์ว่ามีภาวะติดบ้าน ติดเตียง จะได้รับการช่วยเหลือจากกองทุนระบบการให้บริการของประกันการดูแลระยะยาว เพื่อมาใช้จ่าย โดยค่าวัสดุอุปกรณ์จะมาจากเบี้ยประกันของผู้ใช้บริการ ส่วนค่าจ้างผู้ดูแลเป็นการร่วมจ่ายของผู้ใช้บริการและรัฐบาลท้องถิ่นในอัตราคนละครึ่ง

ภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 6 หมื่นล้านบาท ในปี 2560 เป็น 3.4 แสนล้านบาท ในปี 2590 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าว ยืนยันไม่ได้เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน แต่การมีระบบนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดโอกาสการลงทุนในสินค้าอุปกรณ์การแพทย์ เกิดอาชีพดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น แทนที่จะเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ซึ่งส่วนใหญ่สูงวัย และมีอาชีพหลักอยู่แล้ว” ที่ปรึกษาทีดีอาร์ไอ กล่าว

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ระบุผู้นำไม่ควรมีคำถามอีกแล้วในวันนี้ว่า นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าควรเดินหน้าต่อไปหรือไม่  หรือไม่ควรมีคำถามอีกแล้วว่า งบประมาณในการดำเนินนโยบายเพียงพอหรือไม่ เพราะองค์การสหประชาชาติรับรองให้วันที่ 12 ธ.ค. เป็นวันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากลแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายมีผลดีต่อการส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ภาวะผู้นำต้องทำ คือ จะทำอย่างไรให้นโยบายดังกล่าวเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืนและสามารถใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าที่สุด รวมถึงผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศในยุคต่อไป ไม่ว่าในระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และปลัดกระทรวง จะต้องนำเสนอวิสัยทัศน์ต่อนโยบายเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก่อนเข้ามาทำงานด้วย

ขณะที่นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)กล่าวถึงระบบการสาธารณสุข ระบบการแพทย์ และการปฏิรูประบบสุขภาพของไทย ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดกลไกในการทำงานด้านต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ยังมีปัญหา เช่น ปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลของรัฐ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการของแพทย์ ซึ่งถือเป็นความทุกข์ในระบบที่จะต้องเร่งจัดการให้ได้ จึงมีความพยายามส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง

“นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ มีความสนใจในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงอยู่แล้ว จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลขึ้นมา แต่ขณะนี้ไม่ทราบเช่นกันว่า ระบบที่เกิดขึ้นมีพัฒนาการอย่างไร เพราะกำลังพบว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่ได้ทำ ส่งผลให้งานเดี้ยงไปทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ระบบที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีกำลังมีปัญหา ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกบทบาทกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลขับเคลื่อนระบบการทำงานด้านการป้องกันโรค รวมถึงการสาธารณสุขอื่น ๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น” อดีต รมช.พม. กล่าว


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกใน สำนักข่าวอิศรา เมื่อ 19 ธันวาคม 2560 ในชื่อ ดร.วรวรรณ ชี้ไทยส่อเผชิญวิกฤติการคลัง 30 ปีข้างหน้า ภาระดูแลผู้สูงวัยพุ่ง 3.4 แสนล.

นักวิจัย

ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม ทีดีอาร์ไอ

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด