ธุรกิจ ‘แท็กซี่’ คือธุรกิจเช่าซื้อ

 ชลวิทย์ พันธ์ภักดีดิสกุล
พรพิมล ตินะน้อย

แท็กซี่มีบทบาทอย่างมากต่อการให้บริการรับส่งผู้โดยสารในเขตเมือง โดยเฉพาะ ในกรุงเทพมหานคร แต่จากข่าวที่ปรากฏโดยทั่วไป ผู้ใช้บริการยังต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง

ตั้งแต่การปฏิเสธผู้โดยสาร ความประมาทในการขับขี่ รวมถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพนักงานขับรถแท็กซี่ นำไป สู่การตั้งคำถามถึงคุณภาพของผู้ขับแท็กซี่ โดยการคัดเลือกและการฝึกฝนคนขับแท็กซี่ ล้วนเป็นหน้าที่และภาระหลักของผู้ประกอบการธุรกิจ

  เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไข อย่างแรกต้องเข้าใจ โครงสร้างการประกอบการรถแท็กซี่ว่า มีผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพอยู่ไม่มากนัก แต่เดิมแท็กซี่ในกรุงเทพฯ อยู่ในลักษณะของบุคคลและอู่แท็กซี่ แต่เมื่อในปี 2535 กรมการขนส่งทางบกได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ให้บริการแท็กซี่ที่เป็นนิติบุคคลในการจดทะเบียนและดำเนินธุรกิจ ทำให้อู่แท็กซี่ต่างๆ รวมตัวกันและจดทะเบียนในรูปแบบของสหกรณ์ เช่นเดียวกับบริษัทเช่าซื้อที่ได้เห็นประโยชน์จากกลไกดังกล่าว  ทั้ง 2 กลุ่ม จึงกลายเป็นกลุ่มหลักของโครงสร้างธุรกิจแท็กซี่ในปัจจุบัน

อาจกล่าวได้ว่า ในทางกฎหมาย ผู้ประกอบการแท็กซี่ จะประกอบด้วย ผู้ประกอบการนิติบุคคล ได้แก่ บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหกรณ์แท็กซี่ และการจดทะเบียนในนามของแท็กซี่ส่วนบุคคล แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงสร้างตลาดของรถแท็กซี่จะมีนายทุนให้บริการรถแท็กซี่ เพื่อการเช่าขับและเช่าซื้อ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเถ้าแก่ อู่รถแท็กซี่ หรือบริษัทเช่าซื้อ ดังนั้นรายได้ของนายทุนเหล่านี้จะมาจากค่าเช่าขับและดอกเบี้ยจากการให้เช่าซื้อรถผู้ประกอบการแท็กซี่จึงต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้รถแท็กซี่ถูกเช่า ซึ่งในบางครั้งก็ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพผู้เช่าขับหรือคนขับแท็กซี่ อันนำไปสู่ปัญหาการให้บริการในปัจจุบัน

หากเป็นไปตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไป พฤติกรรมหรือการกระทำต่างๆ ของผู้ประกอบการ (Firm) มักคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวที่ได้จากผู้ใช้บริการ กล่าวคือธุรกิจจะอยู่ได้ในระยะยาวก็ด้วยการประชาสัมพันธ์ การตลาด การบอก ปากต่อปาก และประสบการณ์ที่ผู้โดยสารได้รับ พนักงานหรือคนขับแต่ละคนที่อยู่ภายใต้ ผู้ประกอบการเหล่านี้ จะคำนึงถึงมุมมองของ ผู้โดยสารต่อการบริการเป็นสำคัญ เพื่อจูงใจให้ ผู้โดยสารกลับมาใช้บริการอีกครั้ง หรือแนะนำ คนอื่นๆ ถึงการบริการที่ดีที่ตนได้รับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการแข่งขันกันพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ส่งเสริมให้เกิด ผู้ประกอบการที่ดีและมีคุณภาพ พร้อมทั้งผลักดันผู้ประกอบการที่แย่ออกจากตลาด

แต่ในอุตสาหกรรมแท็กซี่ของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยผู้ให้บริการรายย่อย จำนวนมาก ทั้งที่เป็นผู้เช่ารถจากอู่หรือสหกรณ์และผู้ที่เป็นเจ้าของรถเอง ผู้ให้บริการหรือคนขับเหล่านี้มักปฏิบัติต่อผู้โดยสารเสมือนกับว่าจะไม่ได้เจอกับผู้โดยสารรายนั้นๆ อีก มีแนวโน้มที่จะใช้เส้นทางที่อ้อม เก็บค่าโดยสารแพงในอัตราที่แพงขึ้น รวมทั้งปฏิเสธการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติที่มีโอกาสน้อยที่จะกลับมาใช้บริการ รวมทั้งไม่รู้เส้นทาง และไม่น่าจะรู้ช่องทางในการร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้สถานการณ์ที่มีผู้ให้บริการย่อยจำนวนมากเช่นนี้ ผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวที่ได้จาก ผู้ใช้บริการ และผู้โดยสารมักไม่สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ที่ให้บริการที่ดีกว่าได้ หรือการรอผู้ให้บริการที่ดีต้องใช้เวลาในการ รอรถนานเกินไป เนื่องจากมีจำนวนน้อย

สิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันกัน พัฒนาคุณภาพการให้บริการ ส่งผลให้ ผู้ให้บริการที่แย่ไม่มีคุณภาพ กีดกันผู้ให้บริการที่ดี และมีคุณภาพออกจากตลาด หรือ ทำให้ผู้ให้บริการที่ดีต้องปรับลดคุณภาพการให้บริการลงเพื่อให้สามารถแข่งขันอยู่ในตลาดได้

เราจะสังเกตเห็นว่า “สี” ของแท็กซี่แต่ละคันที่ให้บริการอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างสีสันให้กับท้องถนนของกรุงเทพฯ แล้ว สีของแท็กซี่ยังช่วยบ่งบอกถึงผู้ให้บริการแต่ละราย  เช่น การเป็นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล หรือเป็นรถ ที่สังกัดอยู่ภายใต้สหกรณ์/บริษัทแต่ละแห่ง  แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถ “เลือก” ผู้ให้บริการที่ดีและมีคุณภาพ ได้ เนื่องจากรถแท็กซี่แต่ละสีหรือรถแท็กซี่ของ แต่ละผู้ให้บริการมักมีคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน

จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น การปฏิรูปโครงสร้างการประกอบการจึงจำเป็นต่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของ แท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

โดยรูปแบบการประกอบการที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกำกับดูแล เพิ่มแรงจูงใจ ในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของผู้ประกอบการ และเพิ่มการรับผิดชอบ (Accountability) ต่อผู้โดยสารของผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการคัดกรองคนขับที่ดีและมีคุณภาพ และอาจจัดให้มีการอบรมเพื่อเพิ่มความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการให้บริการ เช่น ภาษา หรือการปฏิบัติต่อผู้โดยสาร เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ระบบการกำกับดูแลจำเป็นต้องมีการพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อคัดกรองผู้ประกอบการที่ดีให้อยู่ในตลาด ผลักดัน ผู้ประกอบการที่ไม่ดี ไม่มีประสิทธิภาพออกจากตลาด ซึ่งนอกจาก ระบบตัดแต้มคนขับ (Demerit Point System) ที่ต้องมีการประยุกต์ใช้ควบคู่กับการกำหนดมาตรฐานการบริการแล้ว ยังควรต้องมีการประเมินผู้ประกอบการแต่ละราย ผ่าน การวัดประสิทธิภาพของการใช้รถแท็กซี่ (Utilization Rate) ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงการให้บริการในระยะยาว และยังช่วยลดจำนวนผู้ประกอบการ รวมทั้งจำนวนรถแท็กซี่ที่มีประสิทธิภาพของการให้บริการอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้รายได้โดยเฉลี่ยของผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมแท็กซี่สูงขึ้น


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรก ใน วาระทีดีอาร์ไอ เมื่อ 30 สิงหาคม 2561