ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาที่ยั่งยืน และตัวชี้วัดความยั่งยืนชุมชนมั่นพัฒนา

ชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา คืออะไร

ตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา หรือ Sustainability Community Indicators (SCI) เป็นดัชนีวัดผลความสำเร็จจากการดำเนินโครงการของชุมชนตามแนวทางศาสตร์พระราชาทั้งในแง่การดำเนินการ และผลลัพท์ ที่แสดงถึงความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืนของสมาชิกชุมชนทั้งด้านกายภาพ ด้านจิตใจ และด้านวัฒนธรรม จากการน้อมนำแนวทางดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำไปต่อยอดปรับปรุงโครงการที่น้อมนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

ตัวชี้วัดนี้เป็นการประมวลผลความสอดคล้องในการประพฤติปฏิบัติของบุคคล ครอบครัว และชุมชน กับศาสตร์พระราชา ด้วยวิธีการประเมินที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถนำเสนอเป็นบทเรียนจากประเทศไทยได้ รวมทั้งสามารถใช้เป็นแนวทางสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจสอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในชุมชนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชนและองค์กรไม่แสวงหากำไร

คุณสมบัติของระบบตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา

  1. เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับชุมชนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (science-based indicators)
    ตัวแปรต่างๆ ที่นำมาใช้ มีทั้งตัวแปรระดับชุมชนโดยตรง เช่น จำนวนประชากรในหมู่บ้าน จำนวนพื้นที่ป่า และตัวแปรระดับชุมชนที่สร้างขึ้นมาจากตัวแปรระดับครัวเรือน เช่น ร้อยละของครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นต้น
  2. แสดงถึงความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืนของสมาชิกชุมชน
    ทั้งด้านกายภาพ ด้านจิตใจ และด้านวัฒนธรรม เช่น ความรู้สึกพึงพอใจ สบายใจ ภูมิใจ การช่วยเหลือกันและกันในชุมชน ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นต้น
  3. แสดงถึงการปฏิบัติตามแนวทางศาสตร์พระราชาของคนในชุมชนและโครงการพัฒนาในชุมชน
    เป็นหลักประกันว่าสามารถบรรลุความยั่งยืนของความอยู่ดีมีสุขของชุมชนได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น มีกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ที่ถูกต้องก่อนเริ่มดำเนินโครงการ (ดังเช่นแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของในหลวงรัชกาลที่ 9)
  4. วัดเป็นปริมาณได้ (quantifiable)
    หรืออย่างน้อยสังเกตเห็นได้ (observable) เหมือนเช่นกรณีตัวชี้วัดของ SDGs
  5. มีตัวชี้วัดย่อยที่แสดงมิติต่างๆ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    เพื่อให้สามารถแสดงมิติต่างๆ แยกกันได้ ในขณะเดียวกันอาจมีตัวชี้วัดรวม ที่สามารถนำมาใช้สื่อสารในระดับมหภาคได้
  6. มีบทวิเคราะห์ความสัมพันธ์และเกื้อกูลกันระหว่างตัวชี้วัด
    เหมือนกับกรณี SDGs

ส่วนประกอบตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา

การพัฒนาชุดตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา ประกอบด้วยตัวชี้วัด 2 กลุ่มสำคัญได้แก่ กลุ่มที่เป็นกระบวนการการพัฒนาหรือที่เรียกว่า ตัวชี้วัดสะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา (SCI-S4S) และกลุ่มที่เป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาหรือที่เรียกว่า Outcome (SCI-OC) ซึ่งทั้งสองกลุ่มข้างต้นจะมีรายละเอียดและจำนวนตัวชี้วัดภายในกลุ่มที่แตกต่างกัน

ตัวชี้วัดสะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา

Sustainability Community Indicators – Sufficiency for Sustainability (SCI-S4S)

SCI-S4S เป็นมิติของชุดตัวชี้วัดที่สะท้อนกระบวนการพัฒนาของชุมชน โดยมีมิติย่อยการพัฒนาที่ให้ความสำคัญทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตัวชี้วัดภายในชุดตัวชี้วัดจึงมีความหลากหลายและมากกว่าตัวชี้วัดการพัฒนาทั่วไปในมิติของเศรษฐกิจ หากแต่รวมถึงสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยประกอบด้วย 14 ตัวชี้วัดย่อย

  1. ความพอประมาณ (moderation) ความพอดีที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป มีความเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม ทั้งเศรษฐกิจ สังคม
  2. ความเพียร (perseverance) ความตั้งใจพยายามทำการใดให้สำเร็จลุล่วงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยไม่มีความย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น มุ่งหวังให้บรรลุเป้าหมายในท้ายที่สุด 
  3. รอบคอบ ระมัดระวัง (prudence) การตัดสินใจกระทำการใดอย่างมีหลักการในการตัดสินใจ คำนึงถึงผลการกระทำของตนเอง
  4. ความซื่อสัตย์ (honesty) เป็นพื้นฐานการพัฒนาที่สำคัญของการอยู่อาศัยร่วมกัน  ความซื่อสัตย์มีจุดเริ่มต้นจากตนเองสู่สังคมรอบข้าง ความซื่อสัตย์จึงมีความหมายในลักษณะของศีลธรรม เช่น การประพฤติตนอย่างซื่อตรง การงดเว้นการลักเล็กขโมยน้อย
  5. ความมีเหตุผล (reasonableness) ใช้หลักการของความรู้วิชาการ กฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรมรวมไปถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นในการตัดสินใจ ไม่เกิดจากอารมณ์ ความรู้สึกชั่วขณะ
  6. ความรอบรู้ (knowledge, learning, information)ใช้ประกอบในมิติความรอบคอบ ระมัดระวังและความมีเหตุผล เพราะการตัดสินใจต้องอาศัยองค์ความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกระบวนการศึกษาหาความรู้ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญในการพัฒนาของปัจเจกอีกด้วย
  7. พึ่งตนเอง (self-reliance) แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าของตนเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่น รวมสามารถอาศัยตามสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่ได้อย่างเหมาะสม
  8. การมีภูมิคุ้มกัน (resilience) การให้ความสำคัญกับการรับมือความเสี่ยง การเตรียมพร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถปรับตัวและจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
  9. แบ่งปัน ช่วยเหลือ (sharing/helping) การมีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สังคมโดยรอบตัวเรา ทั้งในรูปของตัวเงินหรือไม่ใช่ตัวเงินได้เช่นเดียวกัน เช่น การช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในชุมชน สังคมที่ปัจเจกอาศัยอยู่
  10. การมีจิตสาธารณะ (public mind) ลักษณะทางจิตใจของปัจเจกในการปรารถณาที่จะให้ความช่วยเหลือ แก้ปัญหา อุทิศตนเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมถึงจิตสำนึกต่อการรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ
  11. ความสามัคคี (social coherence) ความพร้อมเพรียง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทุกคนภายในชุมชน เช่น การไม่แบ่งพรรคพวกในชุมชน ความรู้สึกเชื่อใจของคนในชุมชน 
  12. ความเป็นผู้นำ (leadership) การพัฒนาที่มีชุมชนเป็นพื้นฐาน ความเป็นผู้นำของปัจเจกภายในชุมชนจึงเป็นมิติสำคัญที่ต้องคำนึงถึง การริเริ่ม การดำเนินงาน การควบคุมดูแลและการตรวจสอบโครงการภายในชุมชน โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายในชุมชน เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของส่วนรวม
  13. ระเบิดจากภายใน (explosion from within) เป็นแนวคิดการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับจุดเล็กภายในสังคมเป็นลำดับแรก การพัฒนาที่เกิดขึ้นจึงมีจุดเริ่มต้นที่ปักเจกหรือครอบครัวเพื่อให้มีความพร้อมที่จะได้รับการพัฒนา ดังนั้นการระเบิดจากภายในจึงไม่ใช่การนำความเจริญจากภายในนอกเข้าสู่ชุมชนโดยที่ชุมชนยังไม่มีโอกาสเตรียมตัวได้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงและอาจนำไปสู่ความไม่ยั่งยืนของการพัฒนาได้
  14. รักษาสิ่งแวดล้อม (environmental protection) เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ควรสอดแทรกในทุกกระบวนการพัฒนา ดังนั้นมิติหรือกิจกรรมที่สะท้อนเรื่องของการพัฒนาตามศาสตร์พระราชาจึงมีหลากหลายตามแต่บริบทหรือโอกาสของการดำเนินชีวิตประจำวัน อาทิ การลดใช้โฟม การลดใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น
  15. นวัตกรรมในชุมชน (community innovation) ผลผลิตที่เกิดขึ้นใหม่จากการใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมในชุมชนและความคิดสร้างสรรค์ของปัจเจกในการพัฒนาสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น การเกิดนวัตกรรมใหม่ขึ้นภายในชุมชนต้องอาศัยทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ประสบการณ์และพลังทางความคิดเพื่อให้นวัตกรรมเกิดขึ้น (เฉพาะพื้นที่นอกเขตเทศบาล) 

ตัวชี้วัดผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชน

Sustainability Community Indicators – Outcome (SCI-OC)

SCI-OC เป็นชุดตัวชี้วัดที่แสดงผลการพัฒนาตามแนวทาง S4S ซึ่งผลการพัฒนาที่เกิดขึ้นจะไม่ครอบคลุมเพียงมิติเศรษฐกิจ แต่ยังให้ความสำคัญถึงสังคม วัฒนธรรมภาย ทั้งนี้การแสดงผลการพัฒนาในระดับที่เล็กที่สุดคือในระดับชุมชน โดยประกอบด้วย 11 ตัวชี้วัดย่อย

  1. ความสุข ความพอใจ (happiness) ความสุขเป็นสภาวะทางจิตใจอันเป็นผลจากความพอประมาณและความพึงพอใจต่อสิ่งที่มี สิ่งที่ได้รับ และสิ่งที่เป็น ซึ่งแต่ละคนอาจมีความสุข ความพอใจในระดับที่แตกต่างกันแม้จะอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน การพิจารณาความสุข ความพอใจจึงเป็นเรื่องในระดับปัจเจกเป็นสำคัญ ปัจจุบันแนวคิดเรื่องการวัดความสุข กำลังได้รับความสนใจจากหลายหน่วยงาน เนื่องจากเป็นผลการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกอย่างชัดเจนและเปรียบเสมือนภาพรวมของการพัฒนาในทุกมิติที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการวัดความสุข ความพอใจยังคงเป็นเรื่องท้าทายในกาประเมินผลในปัจจุบัน
  1. การหลุดพ้นความยากจน (escape poverty) ความยากจนเป็นจุดเริ่มต้นของหลายปัญหาในสังคม โดยมีสาเหตุจากการขาดความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาตนเองและสังคมโดยรอบ เช่น การขาดสารอาหารที่เหมาะสมต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษา ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อการพัฒนาของปัจเจก
  1. สุขภาพ (health) การมีสุขภาพที่ดีเป็นผลการพัฒนาที่สอดคล้องกับผลของการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นประเด็นเพิ่มเติมนอกจากเรื่องของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ โดยความครอบคลุมของตัวชี้วัดจะให้ความสำคัญกับบาทรวมของสุขภาพ การเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการพักผ่อนที่เพียงพอ
  1. โอกาสทางการศึกษา (education) โอกาสทางการศึกษาเป็นผลการพัฒนาที่สำคัญที่แสดงถึง ความครอบคุมของระบบการศึกษาในตั้งแต่แรกเริ่ม ในการเข้าถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การมีโอกาสเข้าเรียนในระดับมัธยมต้น และครอบคลุมไปถึงการจบการศึกษาในระดับสูง โดยโอกาสทางการศึกษายังเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
  1. การมีงานทำ (employment)การจ้างงานเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งระบบตัวชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชุมชนให้ความสำคัญกับการมีงานทำของปัจเจกภายในชุมชนและลักษณะของงานที่มีความมั่นคง ผลของการพัฒนาในมิติย่อยนี้มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
  1. สามารถใช้จ่ายได้เพียงพอ (sufficient expenditure) ข้อมูลรายจ่ายที่ในด้านการการอุปโภคและบริโภค เป็นข้อมูลที่สะท้อนถึงการหลุดพ้นความยากจนและความเปราะบางของปัจเจกในการกลับมาสู่ภาวะความยากจนอีกครั้ง มิติของผลการพัฒนาสามารถสะท้อนจากรายจ่ายที่สูงกว่าเส้นความยากจน (ด้านรายจ่าย)
  1. มีรายได้เพียงพอ (sufficient income) การมีรายได้ที่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค เป็นผลของกระบวนการพัฒนาที่สำคัญที่สะท้อนถึงการหลุดพ้นความยากจนและความเปราะบางของปัจเจกในการกลับมาสู่ภาวะความยากจนอีกครั้ง มิติของผลการพัฒนาสามารถสะท้อนจากรายได้ที่สูงกว่าเส้นความยากจน
  1. สภาพความเป็นอยู่ (living condition)สภาพความเป็นอยู่ หมายถึง สภาพสถานที่อยู่อาศัยของปัจเจกภายในชุมชนที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของตนเองและครอบครัว ได้แก่ ความเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ความกว้างขวางและเพียงพอต่อจำนวนสมาชิก ความสามารถในการกันแดดและกันฝน รวมถึงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วย ระบบไฟฟ้า น้ำประปา น้ำดื่มและระบบสุขาภิบาลในครัวเรือน
  1. ทรัพย์สิน (asset) ทรัพย์สินเป็นผลของการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม สามารถวัดได้โดยง่ายผ่านจำนวนทรัพย์สินที่เพียงพอ เช่น จำนวนที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยหรือการเกษตร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพหรือการดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นต้น
  1. ทุนทางสิ่งแวดล้อม (environmental capital) ทุนทางสิ่งแวดล้อมเป็นผลการพัฒนาตามแนวทาง S4S เนื่องจากเป็นการพัฒนาที่อยู่บนฐานของความพอประมาณ หลักวิชาความรู้และความรอบคอบ ทำให้ชุมชนสามารถคาดการได้ถึงผลเสียของการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ที่จะป้องกันปัญหาของสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการพัฒนาได้
  1. ความเท่าเทียม (equality) ความเท่าเทียมเป็นมิติย่อยของผลการพัฒนา ที่แสดงถึงการพัฒนาในระดับปัจเจกที่เกิดความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจอันเกิดจากความสามัคคีภายในชุมชนที่เกิดขึ้น ทั้งนี้มิติย่อยที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมยังคงครอบคลุมถึงความรู้สึกของคนภายในชุมชนที่มีต่อช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนภายในสังคม
  1. ทุนทางสังคม (social capital) การรวมกลุ่ม การสร้างความสามัคคีของชุมชนในกระบวนการพัฒนาตามแนวทาง S4S จะส่งผลต่อการเพิ่มมากขึ้นของทุนทางสังคม โดยตัวชี้วัดที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ การเป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ ภายในพื้นที่ทำการศึกษา

ผลคะแนนตัวชี้วัดสะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา (SCI-S4S)

สำหรับผลคะแนนตัวชี้วัดสะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา (SCI-S4S) สามารถนำเสนอได้ตั้งแต่ ระดับประเทศ ซึ่งจากแสดงผลผ่านแผนที่ (Visualized Map) และสามารถลงลึกได้ถึงรายจังหวัด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาในระดับพื้นที่

คะแนนตัวชี้วัดสะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาระดับประเทศ

คะแนนตัวชี้วัดย่อยที่สะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาระดับประเทศ

  • พอประมาณ 64.8
  • ความเพียร 65.9
  • รอบคอบ ระมัดระวัง 79.4
  • ซื่อสัตย์ 50.8
  • มีเหตุผล 61.5
  • รอบรู้ 60.5
  • มีภูมิคุ้มกัน 55.8
  • แบ่งปัน 54.5
  • สามัคคี 59.0
  • รักษาสิ่งแวดล้อม 62.4
  • Mean 61.6

คะแนนตัวชี้วัดการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา (SCI-S4S) ระดับภูมิภาค

  • กรุงเทพฯ 60.5
  • ภาคกลาง 55.5
  • ภาคเหนือ 63.7
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 65.1
  • ภาคใต้ 59.5
  • ในเขตเทศบาล 60.6
  • นอกเขตเทศบาล 62.4

คะแนนตัวชี้วัดย่อยที่สะท้อนการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา (SCI-S4S) เขตกรุงเทพ ในเขตเทศบาล และนอกเขตเทศบาล

ผลคะแนนตัวชี้วัดผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชน (SCI-OC)

คะแนนตัวชี้วัดผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชน (SCI-OC)  สามารถนำเสนอได้ตั้งแต่ ระดับประเทศ ซึ่งจากแสดงผลผ่านแผนที่ (Visualized Map) และสามารถลงลึกได้ถึงรายจังหวัด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนในระดับพื้นที่

คะแนนตัวชี้วัดผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชนระดับประเทศ

คะแนนตัวชี้วัดย่อยที่แสดงถึงผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชน (SCI-OC) ระดับประเทศ

  • ความสุข 70.2
  • ไม่จน 78.9
  • สุขภาพ 87.8
  • การศึกษา 17.3
  • มีงานทำ 84.9
  • รายจ่าย 26.3
  • สภาพบ้าน 90.3
  • ทรัพย์สิน 48.8
  • สิ่งแวดล้อม 81.0
  • ความเท่าเทียม 57.2
  • Mean 63.5

คะแนนตัวชี้วัดผลลัพธ์ของการพัฒนาในชุมชน (SCI-OC) ระดับภูมิภาค

  • กรุงเทพฯ 68.6
  • ภาคกลาง 63.0
  • ภาคเหนือ 62.9
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 62.0
  • ภาคใต้ 61.9
  • ในเขตเทศบาล 64.0
  • นอกเขตเทศบาล 62.0

คะแนนตัวชี้วัดย่อยของการพัฒนาในชุมชน (SCI-OC) เขตกรุงเทพ ในเขตเทศบาล และนอกเขตเทศบาล

ผลการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรในระบบตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา

  • ตัวชี้วัด SCI-OC และ SCI-S4S มีความสัมพันธ์ทางบวก (อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ)
  • ทุกมิติย่อยของศาสตร์พระราชา (SCI-S4S) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับค่าตัวชี้วัดรวมของ SCI-OC
  • ความสัมพันธ์ระหว่างมิติย่อยเป็นไปในทิศทางบวกเป็นส่วนใหญ่ (136 คู่ จากทั้งหมด 181 คู่)
    • เป็นความสัมพันธ์ทางลบเพียง 12 คู่
    • ที่เหลือไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ

 

แนวทางการใช้งานระบบตัวชี้วัดชุมชนมั่นพัฒนา

  • การใช้งาน SCI ปัจจุบัน คือ นำเสนอศาสตร์พระราชาต่อคนไทยและประชาคมโลก (ระดับ Macro)

สามารถนำเสนอค่าตัวชี้วัด SCI-OC และ SCI-S4S ที่ทำการเก็บข้อมูลต่อเนื่องเป็นรายปี (หรือราย 2-3 ปี)  เป็นการรายงานความก้าวหน้าของการประพฤติปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาของคนไทย และความก้าวหน้าของผลลัพธ์การพัฒนา  เหมือนเช่นกรณี Gross National Happiness (GNH) ของประเทศภูฐาน โดยสามารถนำเสนอผลระดับประเทศ ระดับภาค ระดับกลุ่มจังหวัด (หรือกระทั่งระดับจังหวัดในกรณีจังหวัดที่มีการเก็บตัวอย่างมากพอ)

ในส่วนของความเชื่อมโยงระหว่างตัวชี้วัด ก็สามารถนำเสนอได้หากมีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องกันหลายปี จะสามารถศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยรวมความเชื่อมโยงแบบระหว่างพื้นที่ (cross-sectional relation) และความเชื่อมโยงข้ามห้วงเวลา (time series)

  • การใช้งาน SCI ระยะต่อไป ใช้เป็น เครื่องมือประกอบ’ การประเมินโครงการพัฒนา(ระดับ Micro) 
  1. ทำการสำรวจและเก็บคะแนน SCI-OC และ SCI-S4S ในพื้นที่ก่อนเริ่มโครงการพัฒนาที่จะได้รับการประเมิน
  2. เก็บข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการ เช่น วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย วันเริ่ม/วันสิ้นสุด งบประมาณ ทั้งนี้จะไม่เก็บข้อมูลที่เป็นความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นของประชาชนในพื้นที่ (เช่นหมู่บ้าน) ผู้นำชุมชน หรือผู้ดำเนินการโครงการ
  3. ทำการสำรวจและเก็บคะแนน SCI-OC และ SCI-S4S ในพื้นที่หลังโครงการพัฒนาสิ้นสุดแล้ว
  4. วิเคราะห์ว่าโครงการก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังโครงการใน (ก) ผลลัพธ์การพัฒนา SCI-OC (ข) การปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา SCI-S4S อย่างไร  ทั้งนี้การวิเคราะห์เปรียบเทียบต้องคำนึงถึงปัจจัยควบคุม (control factors) อื่นๆ  ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของโครงการด้วย เช่น การตัดถนน การพัฒนาชลประทาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจทั้งในระดับชุมชน อำเภอ จังหวัด หรือระดับประเทศ