จับต้อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ สังคมไทย สู่การแก้ไขผ่านความร่วมมือ

วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์


          สถานการณ์ “ความ เหลื่อมล้ำทางรายได้” ของคนไทยแทบจะไม่ดี ขึ้นเลยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยจะปรับตัว สูงขึ้นก็ตาม

          “ความเหลื่อมล้ำทางรายได้” เป็นการ เปรียบเทียบความไม่เท่าเทียมกันในเชิง รูปธรรม ซึ่งเป็นการถือครองสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (tangible asset) โดยข้อมูลจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ให้เห็นว่ารายได้เฉลี่ยของคนไทยปรับตัวสูงขึ้น จากประมาณ 1,100 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 2531 เป็น 3,400 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 2543 และเพิ่มเป็น 9,600 บาท ต่อคนต่อเดือนในปี 2560 แต่ค่าสัมประสิทธิ์ จีนี (Gini coefficient) ที่บอกถึงความ ไม่เสมอภาคนั้นแทบจะไม่ดีขึ้นเลย
          ความไม่เสมอภาคทางรายได้เพิ่มจาก 0.487 ในปี 2531 เป็น 0.522 ในปี 2543 และ ความไม่เสมอภาคลดลงเล็กน้อยเป็น 0.453 ในปี 2560 จึงกล่าวได้ว่า ประโยชน์โดยรวม ที่ประเทศมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคนรายได้สูงแล้ว กลับไม่ได้ช่วยคนมีรายได้น้อยถึงปานกลางให้ดีขึ้นด้วย
          จึงไม่แปลกอะไรที่ Credit Suisse จะรายงานว่า ปี 2561 คนไทยที่รวยที่สุด 5% ของประเทศถือครองทรัพย์สินที่มีทั้งหมดในประเทศถึง 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% ก็แบ่งกันถือระหว่างคนไทยที่เหลืออีก 95% และแน่นอนว่าคนจำนวนหนึ่งไม่มีทรัพย์สินให้ถือครองเลย
          แม้งานของ Credit Suisse จะใช้ข้อมูล ปี 2549 ในการประมาณการ แต่ภาพการถือครอง ทรัพย์สินในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่น่าจะเปลี่ยนมากนัก เพราะประเทศไทยไม่มี การปฏิรูประบบภาษีที่แรงพอจะไปกระทบการกระจายของการถือครองทรัพย์สิน
          ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำการถือครองสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (intangible asset) แต่ปรากฏ ในเชิงประจักษ์ก็คือ ความเหลื่อมล้ำ ทางสุขภาพ ซึ่งมีปัจจัยมาจากเศรษฐกิจและสังคม เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ เพศสภาพ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ชาติกำเนิด อาชีพภาวะความพิการ ภาษาที่ใช้ ลำดับชั้นในทางสังคม ถิ่นที่อยู่อาศัย และอื่นๆ
          ตัวอย่างความเหลื่อมล้ำสุขภาพไทย ที่นำเสนอในงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ เช่น คนก่อนวัยสูงอายุ (อายุ 50-59 ปี) มีการ ฆ่าตัวตายสำเร็จสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากประมาณ 500 คนในปี 2551 เป็น ประมาณ 750 คนในปี 2560 แม้จะไม่ได้ สูงกว่ากลุ่มอายุวัยทำงานที่อายุ 30-49 ปี แต่อัตราการเพิ่มของการฆ่าตัวตาย ของกลุ่มอายุนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น สูงที่สุด
          นอกจากนี้ คนสูงอายุเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุจากการขนส่ง เพิ่มจาก 1,000 คน ในปี 2551 เป็น 3,000 คนในปี 2560 มารดา ในภาคใต้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์มากกว่าคนกรุงเทพ เกินกว่า 3 เท่าในปี 2557 ทั้ง 2 สถานการณ์นี้ ล้วนแต่เป็นการเสียชีวิตที่หลีกเลี่ยงได้
          ตัวอย่างทั้งหมดแสดงถึงความเหลื่อมล้ำที่มีต่อกลุ่มคนเปราะบาง อันเนื่องมาจากอายุและถิ่นที่อยู่อาศัย การวิจัยยังพบว่า คนที่อยู่ในสถานะหย่า หรือแยกทางกัน มีความพึงพอใจในชีวิต ต่ำกว่าคนโสดและคนที่มีคู่ ซึ่งแสดงให้เห็น ถึงความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพจิตด้วยปัจจัย ทางสถานะครอบครัวที่เราอาจจะมองข้ามไป
          ส่วนความเหลื่อมล้ำระหว่างอาชีพ ที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ คือ ค่าใช้จ่ายการรักษา ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสูงอายุที่ใช้สิทธิ สวัสดิการข้าราชการสูงกว่าผู้สูงอายุที่ใช้สิทธิ บัตรทองประมาณ 2 เท่า ทั้งๆ ที่เป็นการรักษา ในกลุ่มโรคเดียวกัน และข้าราชการเกษียณ ยังมีโอกาสมีอายุยืนยาวกว่าผู้สูงอายุที่ใช้ บัตรทองถึง 3 ปี
          ความเหลื่อมล้ำที่กล่าวมานี้ อาจมีผล ต่อความสุขของคน หนังสือ The origins of happiness โดย Andrew E. Clark, Sarah Fleche, Richard Layard, Nattavudh Pawdthavee และ George Ward ระบุไว้ว่า คนมักจะ มีความสุขเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เพิ่ม แต่ถ้า เปรียบเทียบคนในประเทศหนึ่งตามกาลเวลา ที่รายได้เพิ่มแล้ว ความสุขของคนกลับไม่ได้ เพิ่มขึ้นตามรายได้ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Easterlin paradox
          เหตุผลหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ คนมีการ เปรียบเทียบกันทางสังคม ถ้าเรามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในสังคม เรายังมีฐานะทางเศรษฐกิจโดยเปรียบเทียบ แย่เหมือนเดิม ความสุขของเราจะไม่เพิ่ม ตามรายได้ที่เพิ่ม ดังนั้นความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพกาย แต่ยังอาจเกี่ยวข้องไปถึงสุขภาพจิตได้
          ในมิติของประเทศไทย เราอาจไม่สามารถ ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่เราทั้งในฐานะ ที่เป็นปัจเจกชน เป็นสมาชิกของชุมชน สังคม องค์กรเอกชน และหน่วยงานของรัฐ สามารถ ร่วมกันสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ ของคนไทยลงได้ด้วยวิธีการต่างๆ ทำได้ตั้งแต่ ร่วมสนับสนุนทั้งแรงและเงิน การเปิดโอกาส และเปิดใจให้ผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน หรือ การทำธุรกิจเพื่อสังคม
          แต่พลังที่สำคัญคือ หน่วยงานรัฐ ซึ่งถือเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการลดความ เหลื่อมล้ำ ต้องทำให้กลไกทางการคลังแข็งแรง พอที่จะทำให้การกระจายของสินทรัพย์ของคน กลุ่มใหญ่ (โดยเฉพาะกลุ่มคน 95% ที่ถือครอง ทรัพย์สินเพียง 5% ของประเทศ) ค่อยๆ ดีขึ้น กว่าเดิม และมีกลไกด้านการศึกษา บริการ สาธารณสุข การจ้างงาน การเดินทาง และ พัฒนาชุมชน ที่เปิดโอกาสกับคนทุกกลุ่ม อย่างเป็นธรรม
          อย่างไรก็ดี ยังมีคนบางกลุ่มที่ต้องการ โอกาสที่พิเศษ คือ คนโชคร้ายที่ยากลำบาก ด้วยเหตุที่ตนมิได้ก่อไว้ เช่น คนเกิดมา มีร่างกายไม่ครบสามสิบสอง คนเร่ร่อน ย้ายถิ่น คนขาดทางเลือกในการทำมา หาเลี้ยงชีพจึงต้องรับทำงานที่เสี่ยงหรือ ตกงาน บางคนอยากทำงาน แต่ภาวะพิการ ทำให้ออกจากบ้านไม่ได้ บางคนมีชาติกำเนิด ที่ต่างไปทำให้ไม่ได้เรียนหนังสือ คนเปราะบาง เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในวงจรของ ความยากลำบาก และมีสุขภาพกายและใจ ที่อ่อนแอ
          ในสังคมที่เป็นธรรมควรจะมีแต้มต่อ ให้แก่คนเหล่านี้ มีกลไกที่จะช่วยเร่งให้เขา ตามคนอื่นๆ ทัน และมิต้องตกอยู่ตำแหน่ง พื้นล่างของสังคมตลอดกาล
          สังคมที่เป็นธรรมควรมีแต้มต่อให้คนที่ขาดโอกาส มีกลไกที่จะช่วยเร่งให้เขาตามคนอื่นๆ ได้ทัน มิต้องตกอยู่ในตำแหน่งพื้นล่างของสังคมตลอดกาล

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 18 กรกฎาคม 2562