‘นักดนตรีเปิดหมวก’ อาชีพนอกระบบ ที่ไม่ควรตกขอบสวัสดิการ

วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
บุณฑริกา ชลพิทักษ์วงศ์

กลุ่มแรงงานนอกระบบ มีความเป็นอิสระในการประกอบอาชีพค่อนข้างสูง แต่ก็มีความไม่มั่นคงทางรายได้สูงเช่นกัน เพราะมักต้องทำงานหนักแต่ได้รับค่าจ้างต่ำ บางกลุ่มมีความเสี่ยงไม่ได้รับการจ้างงานต่อเนื่อง จึงมีความเสี่ยงต่อความยากจนสูงกว่า และไม่ได้รับความคุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจพบว่าในปี 2562 ผู้มีงานทำจำนวน 37.5 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 20.34 ล้านคน หรือคิดเป็น 54.3% และที่เหลือเป็นแรงงานในระบบ 17.14 ล้านคน หรือ 45.7% หมายความว่าแรงงานนอกระบบเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ของ ประเทศ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพลังขับเคลื่อน ที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย

ดังนั้นการวางนโยบายเพื่อพัฒนาแรงงานและเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน แต่เนื่องด้วยแรงงานนอกระบบมีความหลากหลายค่อนข้างสูง การทำความเข้าใจแรงงานนอกระบบจำเป็นต้องเจาะลึกเป็น กลุ่ม พื้นที่ หรืออาชีพ

การสำรวจแรงงานนอกระบบในโครงการสนับสนุนทางวิชาการและการจัดการความรู้แผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ โดยทีดีอาร์ไอได้เลือกกรณีศึกษาแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพเล่นดนตรีเปิดหมวก 10 ราย ในงานกาชาดขอนแก่น ในช่วงปลายปี 2562 โดยมีเป้าหมายศึกษาปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพ ปัญหาคุณภาพชีวิต นำมาซึ่งข้อค้นพบจุดบอดทางนโยบายทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการแห่งรัฐที่ตกหล่นคนกลุ่มนี้ไป

การสำรวจพบว่าผู้เล่นดนตรีเปิดหมวกเกือบทั้งหมดมีความพิการตาบอดทั้งสองข้าง หรือสูงอายุจนทำงานไม่ได้ มีเพียงกรณีเดียวที่เป็นคนอยู่ในวัยทำงานที่ไม่พิการ เกือบทั้งหมดของกลุ่มตัวอย่าง ไม่เคยได้รับการศึกษา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

สรุปได้ว่าความด้อยโอกาสและเปราะบางของกลุ่มนักดนตรีเปิดหมวกเหล่านี้เกิดจากความพิการและการขาดการศึกษา โดยผู้วิจัยประเมินว่า 2 เรื่องนี้ ไม่สามารถเยียวยาได้ทันสำหรับคนรุ่นเหล่านี้

การขาดการศึกษามีส่วนอย่างมากในการจำกัดทางเลือกในการประกอบอาชีพ โดยนักดนตรีเกือบทั้งหมดบอกว่าไม่ชอบมาร้องเพลงเปิดหมวก พวกเขาทำเพราะไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ และการเล่นดนตรีเปิดหมวกเป็นอาชีพที่เปิดเสรีแก่ทุกคน ทำให้แรงงานเหล่านี้สามารถใช้ทักษะที่มีอยู่ประกอบอาชีพได้ แต่รายได้มักผันผวน ในช่วงที่มีงานเทศกาลมีรายได้ 100-3,000 บาทต่อวัน แรงงานเหล่านี้ต้องเดินทางบ่อยเพื่อไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มีงานเทศกาล ทำให้เสียสิทธิหรือขาด โอกาสอื่นๆ ตามมา เนื่องจากอยู่ไม่เป็นที่ ไม่เคยรับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือเมื่อมีอาการเจ็บป่วยก็ไม่กล้าไปพบแพทย์

นักดนตรีเปิดหมวกส่วนมากมัก กล่าวว่าการเจ็บป่วยเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงไม่ไปพบแพทย์ อีกทั้งไม่เคยตรวจสุขภาพ เพราะเชื่อว่าตนเองไม่มีโรคประจำตัว เมื่อเจ็บป่วย รอให้หายเอง หรือถ้าเป็นมากก็จะซื้อยากินเอง

การไม่ไปพบแพทย์ เมื่อวิเคราะห์ให้ลึกแล้วอาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะ stigma effect (ความรู้สึกย่ำแย่ ด้อยกว่าผู้อื่น) คือไม่ต้องการไปอยู่ในที่ที่มีคนมาก และคิดว่าตนเองเป็นส่วนที่คนหมู่มากอาจจะรังเกียจได้ และต้องเกรงว่าแพทย์จะคิดเงินแล้วไม่มีเงินจ่ายก็จะรู้สึกอับอายได้ ความเปราะบางทางสังคมของนักดนตรีเปิดหมวกจึงเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสุขภาพ

เมื่อสำรวจความพึงพอใจในชีวิต พบว่า พวกเขาให้คะแนนค่อนข้างต่ำ แต่การประเมินนั้นอาจสรุปได้ไม่ตรงความเป็นจริงนัก เนื่องจากเมื่อให้ทุกคนประเมินชีวิตของตนเอง โดย 1 = ต่ำสุด และ 10 = สูงที่สุด ผลคือผู้ถูกสัมภาษณ์เกือบทั้งหมดไม่เข้าใจตรรกะของตัวเลข การให้ความพึงพอใจที่ถูกวัดเป็นตัวเลขจึงอาจคลาดเคลื่อน

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ทำให้พบว่าที่ผ่านมาเรามักมีนโยบายในการช่วยเหลือคนจน เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่เรามักจะประสบปัญหาในการตามหาคนจนแท้จริง เช่นเดียวกับผู้เปราะบางทางสังคม นั่งทำงานอยู่กลางสี่แยกและในงานต่างๆ แต่คนในสังคมมองไม่เห็นเขาในฐานะของคนที่สังคมควรต้องเข้าไปพยุงขึ้นมาจากความยากจน

ซึ่งการสำรวจนักดนตรีเปิดหมวก 10 คนนี้ มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีก 7 ครอบครัวที่มีคนรวมกันในครอบครัวทั้งหมดไม่น้อยกว่า 14 คนไม่ได้รับสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อมูลเชิงประจักษ์นี้ ชี้ให้เห็นว่าโครงการตามหาคนจนในระดับประเทศขาดประสิทธิภาพในการจัดการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามเป้าหมาย

เราสามารถปรับแนวทางการช่วยเหลือ ผู้เปราะบางในสังคมได้อย่างไร

สำหรับนักดนตรีที่พิการมักได้รับเบี้ยคนพิการอยู่แล้ว แต่การช่วยเหลือเหล่านั้นไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เป็นหน้าที่ อปท.ซึ่งพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับความเปราะบางของประชาชนในพื้นที่ การช่วยเหลือคนเหล่านี้ไม่ได้ใช้เงินมากเกินไปกว่าความสามารถของ อปท.ที่จะจ่ายได้ หรือถ้า อปท.ใดมีรายได้น้อย ก็ควรให้ท้องถิ่นที่ร่ำรวยกว่าสามารถโอน รายได้ของท้องถิ่นไปช่วยท้องถิ่นที่ยากจน เพื่อช่วยเหลือได้ทั่วถึงทุกพื้นที่

กลไกการเข้าถึงบริการสุขภาพเชิงรุกเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ควรสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ เมื่อแรงงานผู้เปราะบางไม่สามารถเดินทางไปหาระบบดูแลสุขภาพ เราน่าจะออกแบบให้ระบบสุขภาพเดินทางมาหาแทน เป็นการทำงานเชิงรุกที่สามารถป้องกันการเจ็บป่วย เรื้อรังที่มักมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าการป้องกัน เช่น มีจุดให้บริการตรวจสุขภาพในงานเทศกาลหรือตลาดนัด มีผู้เดินสำรวจคัดกรองคนที่ไม่เคยตรวจสุขภาพ เป็นต้น

ภาครัฐควรมีนวัตกรรมในการจ้างแรงงานเหล่านี้ เช่น การใช้นโยบายอุดหนุนค่าจ้างให้แก่สถานประกอบการที่จ้างผู้พิการที่มีความสามารถ เนื่องจากมีผู้พิการบางรายมีทักษะมากพอที่จะประกอบอาชีพได้ เช่น ร้องเพลงได้ดี หรือมีความสามารถด้านกีฬาในฐานะนักกีฬาพิการทีมชาติไทย เป็นต้น

แม้นโยบายลักษณะนี้จะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจต่ำ แต่ความคุ้มค่าทางสังคมย่อมสูงกว่า ภาครัฐควรรวบรวมข้อมูลผู้พิการ ที่มีความสามารถเหล่านี้ส่งต่อให้บริษัทเอกชน เพื่อจ้างผู้พิการทำงานตามนโยบายของรัฐได้ แม้ว่าแนวทางนี้จะมีการทำอยู่บ้างในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนผู้เปราะบางอีกมาก

อีกแง่มุมหนึ่งจากกรณีศึกษาแรงงานนอกระบบผู้เปราะบางเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเข้าถึงการศึกษา และการพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพที่ หลากหลาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงในวัยสูงอายุ โดยเฉพาะสำหรับผู้พิการ

อย่างไรก็ดี สำหรับแรงงานเปราะบางที่มาถึงวัย 80 ปี ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะเรียนรู้อาชีพใหม่ จึงต้องมีกลไกของสวัสดิการสังคมที่ดีพอที่จะเข้าไปคุ้มครองคนเหล่านี้  นอกจากนี้ยังควรมีกลไกที่เข้มแข็งช่วยคุ้มครองลูกหลานผู้เปราะบางไม่ให้สืบสานความเปราะบางจากรุ่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อีกด้วย

อ่านบทความผลการศึกษาฉบับเต็มได้ที่นี่

หมายเหตุเผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 12 มีนาคม 2563