ประเมิน SMEs ที่ได้รับผลกระทบและแนวทางการช่วยเหลือ

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดเล็กกว่า ย่อมเงินทุนสำรองในการประกอบธุรกิจน้อยกว่า ส่งผลให้ไม่สามารถทนรับสถานการณ์วิกฤติทางเศรษฐกิจได้นานเหมือนธุรกิจที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งมีเงินทุนสำรองในการรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจได้ยาวนานกว่า 

จากข้อมูลกิจการตามนิยามโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่ามีสถานประกอบการรวม 3,119,737 แห่ง โดยจำแนกเป็น 

  • Micro: 2,645,084 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 84.8 
  • Small: 415,722 แห่ง คิดเป็น ร้อยละ 13.3 
  • Medium: 44,290 แห่ง คิดเป็น ร้อยละ 1.4 
  • Large: 14,641 ธุรกิจ คิดเป็น ร้อยละ 0.5 

จะเห็นได้ว่า สถานประกอบการกลุ่มขนาดย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมกันมีจำนวนถึงร้อยละ 99.5 ของสถานประกอบการทั้งหมด 

รูปที่ 1: นิยามของสถานประกอบการในแต่ละขนาด 

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน จากข้อมูลยอดการจัดตั้งธุรกิจใหม่และการเลิกประกอบกิจการ โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า การจัดตั้งธุรกิจใหม่มีแนวโน้มน้อยลงกว่าเดิมหากพิจารณาผลของฤดูกาล ขณะที่การเลิกประกอบกิจการยังคงสอดคล้องกับค่าสถิติในอดีต 

รูปที่ 2: สถิติยอดการจัดตั้งธุรกิจใหม่ 

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 

รูปที่ 3: สถิติการเลิกประกอบกิจการ 

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ทำการสำรวจกลุ่ม SMEs และ supply chain พบว่า มีสถานประกอบการจำนวน 1.33 ล้านราย ที่ได้รับผลกระทบ โดยสาขาที่สำคัญ ได้แก่ 

  1. ธุรกิจค้าปลีก 873,360 ราย 
  1. ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 330,875 ราย 
  1. บริการขนส่ง 64,885 ราย 
  1. ที่พัก โรงแรม บริการการท่องเที่ยว 45,430 ราย 
  1. กีฬา และนันทนาการ 18,355 ราย 

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ โดยหลักการทางเศรษฐศาสตร์แล้ว 

  • โดยทั่วไป ภาครัฐไม่ได้มีหน้าที่ในการเข้าไปดูแลไม่ให้ธุรกิจล้ม  
  • การเข้ามาดำเนินธุรกิจและการออกจากการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ กลไกนี้เป็นกลไกการเอาตัวรอดผ่านการแข่งขัน (survival of the fittest, creative destruction) 
  • ตัวอย่างวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ บริษัท Lehman Brothers เป็นบริษัทวาณิชธนกิจอันดับ 4 ของสหรัฐ ก่อตั้งเมื่อปี 1847 ได้ล้มละลาย 

ดังนั้น หากปัญหาโควิด-19 เป็นปัญหาชั่วคราว การใช้เครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน ได้แก่ การชะลอการชำระหนี้ และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ (ผู้ทำธุรกิจรับผลของโควิด-19 เป็นความเสี่ยงของธุรกิจ) 

แต่หากปัญหาโควิด-19 เป็นปัญหาที่ยาวนาน จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้  

  • ค่าจ้าง: จ่ายเงินเพื่ออุดหนุนรักษาระดับจ้างงาน การสนับสนุนการอบรมสำหรับแรงงานตกงาน หรือที่ใช้อยู่ปัจจุบัน คือ เงินอุดหนุน 5,000 บาท และเงินประกันว่างงานจากประกันสังคมก็เพียงพอแล้วหรือไม่ 
  • ค่าเช่าเอกชน: ปัจจุบันเป็นไปตามกลไกตลาด พบทั้งกรณีไม่เก็บค่าเช่า ลดค่าเช่าบางส่วน จนถึงไม่ลดค่าเช่าเลย นโยบายรัฐโดยทั่วไปเข้าไม่ถึงเพราะเอกชนสามารถ transfer pricing ได้  
  • ดอกเบี้ย: ภาครัฐดูแลให้การช่วยเหลือแล้ว แต่อาจจะมีปัญหาการเข้าถึง ธุรกิจที่ขอกู้ใหม่ หรือขอ Soft loan อาจจะเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง 
  • ภาษี: มาตรการลดหย่อนทางภาษีให้ผลน้อย และมาตรการลดภาษีบางตัว ต้องระวังเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ เช่น การลดภาษีที่ดิน แต่ถ้าสามารถกำหนดสำหรับ SMEs ได้อาจจะดี เช่น ภาษีที่ดินที่เก็บกับห้องแถว 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ
สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

เขียนโดย คณะวิจัย TDRI 
8 พฤษภาคม 2563