ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร
อุไรรัตน์ จันทรศิริ
การฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 นอกจากการฟื้นการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวตามข้อเสนอของผู้เขียนเรื่อง “เปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวจีนแบบไม่กักตัว” ในบทความที่ผ่านมา ภาครัฐจะต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยแรงงานภาคบริการและอุตสาหกรรม 9.35 ล้านคน (คำนวณจากผลการสำรวจแรงงานในไตรมาส 3/2563 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) และธุรกิจทั้งเล็กใหญ่นับแสนราย ที่รัฐต้องวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้วงเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทั่วถึง
มาตรการสร้างงานในระยะเร่งด่วน ที่รัฐสามารถทำได้คือ การผ่อนผันให้ผู้ค้า รายย่อยสามารถขายของหรืออาหารบนทางเท้าทั้งใน กทม.และเมืองใหญ่ จากข้อมูลการขอสินเชื่อฉุกเฉินตามมาตรการโควิด ธกส. พบว่าผู้กู้ 8.5 แสนคนจากทั้งหมด 2 ล้าน คนเคยมีอาชีพประกอบอาหาร
กทม.มีจุดผ่อนผันสำหรับหาบเร่แผงลอย 683 จุด แต่ยกเลิกไปแล้ว 512 จุด และจะมีแผนยกเลิกเพิ่มเติมอีก การผ่อนผัน ให้ค้าขายบนทางเท้าบนจุดที่เคยยกเลิกไป จะช่วยบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจของ ผู้ที่กำลังเดือดร้อนได้ดีที่สุด เพียงแต่ กทม.และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องลงทุนระบบสุขาภิบาล กำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยของอาหารและความปลอดภัยบนถนน ฯลฯ
มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานในระยะกลางถึงระยะยาว ใช้งบประมาณจากเงินกู้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 4 แสนล้านบาท ควรแบ่งโครงการเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1.โครงการจ้างงานผู้ตกงานจากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อุตสาหกรรมรถยนต์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (จากการสำรวจแรงงานไตรมาสที่ 3/2563 พบผู้มีงานทำที่ถูกผลกระทบจากโควิด คือ ตกงาน รายได้ลด ต้องลดชั่วโมงทำงาน แต่ไม่รวมการเปลี่ยนรูปแบบทำงานในสาขาการค้าส่ง-ค้าปลีกมีจำนวน 2.55 ล้านคน โรงแรม 1.36 ล้านคน การผลิต 2.47 ล้านคน และการก่อสร้าง 0.91 ล้านคน) โดยการจ้างงานดังกล่าวต้องคำนึงถึงทักษะและภูมิลำเนาของคนตกงาน
นอกจากการส่งเสริมการจ้างงานผ่านโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมโครงสร้าง พื้นฐาน รัฐควรอุดหนุนให้ภาคเอกชนร่วมเสนอโครงการจ้างแรงงานที่ตกงานหรือแรงงานที่มีการศึกษาต่ำ โดยกระทรวงแรงงานอาจช่วยให้มีการพบปะกันระหว่างแรงงานกับนายจ้างในจังหวัดต่างๆ
2.โครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและ
อาชีพ สำหรับแรงงานที่มีการศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษา การฝึกอบรมอาชีพต้องเน้นหลักสูตรและการวัดผลตามสมรรถนะ หรือความสามารถในการประยุกต์ใช้ทักษะความรู้ (competency based curriculum) โดยสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาร่วมพัฒนาหลักสูตรกับภาคเอกชน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีทักษะตรงกับความต้องการตลาด การประเมินผลโครงการต้องวัดจากอัตราการมีงานทำหลังจบหลักสูตร
สำหรับการใช้งบประมาณภายใต้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการไปแล้ว 9 หมื่น ล้านบาท การใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวรวมถึงการจัดสรรเงินในอนาคต นอกเหนือจากการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว รัฐควรกำหนด เป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้ว่างงาน ตลอดจนการพัฒนาทักษะของแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ให้สามารถหันไปประกอบอาชีพอื่นที่ตลาดต้องการได้ด้วย
ตัวอย่างรูปธรรมของการพัฒนาทักษะใหม่ เช่นการอบรมพนักงานบริการด้านนวดและสปาให้มีทักษะด้านการดูแลคนชราและผู้ป่วย โดยอาศัยการร่วมมือกับโรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุ/ผู้ป่วย เป็นต้น
ภาครัฐควรวางแนวทางการบริหารจัดการอย่างน้อย 3 แนวทาง คือ
1.การกระจายอำนาจตัดสินใจคัดเลือก โครงการและการดำเนินงานไปยังจังหวัดต่างๆ โดยให้คณะกรรมการระดับจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะคนในพื้นที่จะมีความรู้เรื่องศักยภาพ ความต้องการ ของธุรกิจ ข้อมูลและข้อจำกัดต่างๆ ดีกว่าคณะกรรมการในส่วนกลาง และการบริหารจัดการระดับจังหวัดต้องไม่ใช่การแยกส่วน ให้หน่วยราชการต่างคนต่างทำ แต่จะต้องบูรณาการความร่วมมือกันระหว่าง หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ
ส่วนคณะกรรมการส่วนกลางควรมีบทบาทด้านการกำหนดเป้าหมาย หลักเกณฑ์ การพิจารณาโครงการและจัดสรรงบประมาณ สำหรับจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมาก เช่นจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญควรได้รับการจัดสรรงบประมาณมากกว่า และการกำหนดนโยบายต่างๆ รัฐควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้ที่ถูกผลกระทบจากโควิดที่ลงทะเบียนไว้ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะฐานข้อมูล “เราไม่ทิ้งกัน” และ “บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย”
ในการดำเนินงานตามแนวทางนี้ สภาพัฒน์จะต้องส่งคืนข้อเสนอโครงการกว่า 40,000 โครงการ เพื่อให้จังหวัดต่างๆ ทบทวนและยุบรวมโครงการต่างๆ ให้เกิดการบูรณาการด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการของแต่ละจังหวัดลดเหลือไม่เกิน 10-20 โครงการ วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนการบริหารจัดการโครงการลดลง ก่อผลสัมฤทธิ์อย่างมีนัยสำคัญ แทนโครงการแบบเบี้ยหัวแตก อีกทั้งสะดวกต่อการติดตามและประเมินผล
2.การจัดตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในสภาพัฒน์ที่เป็น มืออาชีพและเป็นสถาบันค่อนข้างถาวร เนื่องจากการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นงานที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี จึงต้องการผู้รับผิดชอบที่มีความรู้และประสบการณ์ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คำแนะนำแก่รัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณ การกู้เงิน การเก็บภาษีเพื่อชำระหนี้ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาทักษะความรู้ของแรงงานไทย ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือกับบริษัททั้งในประเทศและต่างชาติและรัฐบาลต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบของคณะกรรมการต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพและมีผู้ทรงคุณวุฒิคล้ายกับคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจมหภาคและงบประมาณ ซึ่งมีตัวแทนจาก 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงบประมาณ นอกจากนี้จะต้อง มีผู้แทนหน่วยราชการที่ดูแลภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนและนักวิชาการ ร่วมด้วย
3.โครงการภายใต้แผนการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจควรเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม การสร้างงานและสร้างทักษะแรงงานตามความต้องการของตลาด ไม่ใช่ความต้องการของหน่วยราชการ
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ควรมีหลักการลงทุนที่คล้ายกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คือต้องเป็นการลงทุนที่เกื้อหนุนการลงทุนของภาคเอกชน (crowding-in investment) เพราะเงินที่ใช้ในนโยบายฟื้นฟูฯ ครั้งนี้เป็นเงินกู้ ยิ่งกว่านั้นรัฐควรสร้างกติกาและ สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อชักจูงใจให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในโครงการต่างๆ ร่วมกับรัฐ
วิธีนี้จะทำให้รัฐไม่ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อลงทุนในอนาคต เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้มากขึ้นตามศักยภาพที่แฝงอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศ ซึ่ง ที่ผ่านมาอาจไม่มีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลาง
บทความภายใต้โครงการ “Assessing Ongoing Policy Measures/Responses to COVID-19 in Thailand” สนับสนุนโดย Feed the Future Innovation Lab for Food Security Policy Research, Capacity, and Influence (PRCI)
หมายเหตุเผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2563