บทความโดย ดร. สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์
เรื่องราวของผลกระทบของโควิด-19 ต่อแรงงานข้ามชาติยังคงเป็นเรื่องน่าติดตามเพราะโควิด-19 ยังคงเป็นหนังยาวไม่จบลงง่ายๆ แม้จะมีข่าวค่อนข้างดีว่ารัฐบาลไทยสั่งซื้อวัคซีนป้องกัน โควิดไปแล้วกับแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) บริษัทผลิตวัคซีนสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. โดยการจองและจัดซื้อนี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถจัดหาวัคซีนได้ภายในปี 2564 จำนวน 25 ล้านโดส

แต่จะครอบคลุมประชากรเพียงประมาณร้อยละ 20 และรัฐตั้งเป้าขยายให้ถึงร้อยละ 50 ของประชากรหรือมากกว่า เพราะฉะนั้นอย่าประมาท การ์ดอย่าตก
เมื่อเร็วๆ นี้ มีพรรคพวกเขียนบทความวิชาการเรื่องผลกระทบของ Covid-19 ที่มีผลต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยไว้แล้วอย่างดีและให้ข้อมูลในหลายประเด็นที่น่าสนใจ (ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ และ นายสิรวิชญ์ รัตนประทีปทอง) บทความของผู้เขียนฉบับนี้แค่เพิ่มมุมมองเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเฉพาะอุปทานแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติกลุ่มต่างๆ ในช่วงโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลสถิติแรงงานต่างด้าวรายเดือนของสำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จากมกราคม 2563 ถึงเดือนล่าสุดคือตุลาคม 2563
- แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ในบทความนี้เพื่อความสะดวกในการอธิบายได้จัดแบ่งเป็น 4 กลุ่มที่สำคัญ คือคนต่างด้าว พิสูจน์สัญชาติ (เดิม) (มาตรา 59-พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560) ได้แก่ แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชาที่หลบหนีเข้าเมืองได้รับการผ่อนผันให้ทำงานและอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามมติ ครม.และได้ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและปรับสถานะการเข้าเมืองถูกกฎหมายแล้ว เรียกสั้นๆ ว่า “พิสูจน์สัญชาติ”
- คนต่างด้าวนำเข้าตาม MOU (มาตรา 59) คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลประเทศต้นทาง เรียกสั้นๆ ว่า “MOU”
- คนต่างด้าวตามมติ ครม. ในปี 2563 นี้มีแรงงาน 3 สัญชาติที่ได้รับการผ่อนผันโดยมติ ครม (ตามมาตรา 59 พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว 2560) เรียกรวมกันสั้นว่า “มติ ครม.” ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่มตามวันที่ ครม.มีมติ คือ
- มติ ครม.วันที่ 16 ม.ค. และ 27 มี.ค. 2561 จำนวนคงเหลือ 995,054 คน 938,678 คน และ 816,562 คน ในเดือน ม.ค., ก.พ. และ มี.ค. 2563 ตามลำดับ กลุ่มนี้ในรายงานบางทีเรียกว่ากลุ่ม “พิสูจน์สัญชาติปรับปรุงทะเบียนประวัติ” ซึ่งแยกกับกลุ่มที่ 1 ข้างบน (“พิสูจน์สัญชาติเดิม”)
- มติ ครม.วันที่ 12 ก.ย. 2560, วันที่ 6 พ.ย. 2561 และ 29 ม.ค. 2562 (พ.ร.ก.การประมง 2558 มาตรา 83) จำนวนคงเหลือ 12,040 คน ในเดือน ม.ค., ก.พ. และ มี.ค. 2563
- มติ ครม. วันที่ 20 ส.ค. 2562 ขึ้นทะเบียนที่ศูนย์ขึ้นทะเบียนเบ็ดเสร็จ จำนวนคงเหลือ 1,266,011 คน ในเดือน เม.ย. 2563 จนถึง ต.ค.2563 กลุ่มนี้เป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่ใบอนุญาตทำงานสิ้นสุด วันที่ 30 ก.ย. 2562, วันที่ 1 พ.ย. 2562, วันที่ 30 มี.ค. 2563, 31 มี.ค. 2563 และวันที่ 30 มิ.ย.2563 (ไม่รวมกลุ่มที่นำเข้าตามระบบ MOU) กลุ่มนี้อนุญาตให้ดำเนินการในลักษณะนำเข้าตาม MOU โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร และอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 2 ปี โดยให้ขออยู่ในราชอาณาจักรได้ ครั้งละไม่เกิน 1 ปี
- มติ ครม.วันที่ 4 ส.ค. 2563 คนต่างด้าวตามมาตรา 63/2 กลุ่มนี้นับว่าเป็นกลุ่มเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 โดยตรงทำให้สถานะการเข้าเมืองมีการปรับเปลี่ยน ประกอบด้วย
- 1) คนต่างด้าวแบบ บต.23 แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามข้อตกลง MOU ที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 50, 53, 55 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว อาทิ ออกจากนายจ้างรายเดิม แต่ยังหานายจ้างรายใหม่ไม่ได้ภายใน 30 วัน
- 2) คนต่างด้าวแบบ บต.24 แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานโดยใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน ซึ่งเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาลตามมาตรา 63/2 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งครบวาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด
4. แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับหรือตามฤดูกาล ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 64
นอกจากนั้นยังมีคนต่างด้าวตามมาตรา 63/1 ประเภทชนกลุ่มน้อยซึ่งไม่ใช่แรงงาน 3 สัญชาติและในบทความนี้จะไม่กล่าวถึง
ในภาพประกอบแสดงแนวโน้มของแรงงาน 3 สัญชาติในช่วง โควิด-19 ระบาด ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 ไปจนถึง ต.ค. 2563 (ประเทศไทยพบผู้ป่วยเป็นรายแรกกุมภา 2563 ประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2563 ผ่านการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นหลัก)
จะเห็นได้ว่าแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติโดยรวมมีแนวโน้มลดลง จากประมาณ 2.79 ล้านคน ในเดือนมกราเหลือ2.19 ล้านคน ในเดือนสิงหา เป็นจำนวนประมาณ 5.93 แสนคน แต่กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงกันยายนและตุลาคมเป็น 2.3 ล้านคน น่าจะเนื่องจากแรงงานในกลุ่มมติ ครม.ที่เพิ่มขึ้นดังจะกล่าวต่อไป
ในกลุ่ม “มติ ครม.”ซึ่งมีกลุ่มย่อยต่างๆ ตามกลุ่มที่ 3 (มติ ครม.) ดังกล่าวข้างต้น ใน 3 เดือนแรกเป็นตัวเลขของกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงานตามมติ ครม. วันที่ 16 ม.ค.และ 27 มี.ค. 2561 และแรงงานประมงที่ได้รับผ่อนผันให้ทำงานตามมติ ครม. วันที่ 12 ก.ย. 2560, 6 พ.ย. 2561 และ 29 ม.ค. 2562 ทั้งหมดจำนวน 1 ล้านคน ในเดือน ม.ค. ลดลงเหลือ 8.3 แสนคน ในเดือน มี.ค.และกลับเพิ่มขึ้นในเดือน เม.ย. เป็น 1.27 ล้านคน ตามมติ ครม. 20 ส.ค.2562 จนกระทั่งเดือน ก.ย.และต.ค. มีแรงงานต่างด้าวเพิ่มอีก 7.7 หมื่นคนและ 1.7 แสนคน ตามลำดับตามมติ ครม. 4 ส.ค.2563 ที่แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว MOU ที่ถูกเลิกจ้างหรือออกจากนายจ้างเดิมในช่วงโควิด-19 และยังหานายจ้างใหม่ไม่ได้ แรงงานกลุ่มนี้เองที่ทำให้ยอดรวมของแรงงานต่างด้าวคงเหลือกลับสูงขึ้นในเดือน ก.ย.และต.ค.
แรงงานกลุ่ม “MOU” เพิ่มขึ้นจาก 1.01 ล้านคน ในเดือน ม.ค.เป็น 1.09 ล้านคน ในเดือน มี.ค. แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดหนักขึ้นประกอบกับมาตรการปิดประเทศและสถานประกอบการอย่างกว้างขวางตามด้วยการเลิกจ้างทำให้จำนวนแรงงานกลุ่ม MOU ลดลงตามลำดับจนเหลือ 8.5 แสนคน ในเดือน ต.ค. คิดเป็นแรงงาน MOU ที่หายไปประมาณ 2.4 แสนคน (นับจากเดือนมี.ค.)

แรงงานในกลุ่ม “พิสูจน์สัญชาติ” ลดลงจากประมาณ 7 แสนคน ในเดือน ม.ค.เหลือเพียงพันกว่าคนในเดือน ต.ค. เข้าใจว่าเนื่องจากใบอนุญาตทำงานหมดอายุและรัฐบาลไม่มีนโยบายทำการพิสูจน์สัญชาติต่อไปโดยจะพยายามใช้การนำเข้าแบบ MOU เป็นหลัก
ส่วนแรงงานไป-กลับแนวชายแดนลดลงจาก 6 หมื่น ในเดือน ม.ค.เหลือ 2 หมื่นกว่าในเดือน พ.ค.และหมดไปหลังจากนั้น
เนื่องจากการปิดชายแดนอย่างเข้มงวดแต่ในเดือน ก.ย.และต.ค. มีการผ่อนผันตามมติ ครม. 4 ส.ค.สำหรับผู้ตกค้างให้อยู่ได้ชั่วคราวจำนวน 1.7 หมื่นคน และ 3 หมื่นคน ตามลำดับ
ในช่วงโควิด-19 ระบาดที่ผ่านมา ประมาณ 9 เดือน ที่ยาวเหมือน 9 ปี อุปทานแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวพอสมควรตามนโยบายและการบริหารของภาครัฐซึ่งคงลดความเดือดร้อนทั้งของแรงงานและภาคธุรกิจได้ ณ ระดับหนึ่ง ทั้งนี้เราไม่ได้พูดถึงการคุ้มครองทางสังคมและสิทธิของแรงงานซึ่งเป็นเรื่องไม่เล็กและรัฐควรสอดส่องต่อไปครับ ตัวเลขเยอะหน่อย แต่ดูกราฟเอาน่าจะช่วยได้
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในมติชน เมื่อ 11 ธันวาคม 2563
ผลงานล่าสุดจากทีดีอาร์ไอ
- คิดยกกำลังสอง: เป้าหมายโลกร้อนไทย…ช้ากว่าใครในภูมิภาค
- การศึกษาปรับปรุงกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสร้างความโปร่งใสเป็นธรรม คุ้มค่า และเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย
- คิดยกกำลังสอง: แก้ปัญหาใหญ่…เด็กไทยอ่านไม่ออก
- แพลตฟอร์มนโยบายข้าวและผักผลไม้ไทย
- “5 คีย์” สู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ