ผลกระทบโควิดต่อแรงงานต่างชาติ

ช่วงหลังเกิดการระบาดของโควิด-19 ประมาณ 6 เดือน (มิถุนายน 2563) จำนวนแรงงานต่างชาติ ประชากรแรงงานต่างชาติลดลงต่อเนื่อง โดยยอดรวมการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด 545,591 คนคิดเป็นร้อยละ 18 ของประชากรแรงงานต่างชาติช่วงก่อนโควิดระบาด (ธ.ค. 2562) โดยภาวะการลดลงของประชากรกระจายตัวทั่วทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีจำนวนการจ้างงานแรงงานต่างชาติสูง (ตารางที่ 1 และรูปที่ 1) 

ตารางที่ 1: จำนวนแรงงานต่างชาติในในราชอาณาจักรไทย ก่อน-หลังการระบาดของโควิด-19 

ที่มา : สถิติการทำงานของคนต่างด้าว โดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว

 

รูปที่ 1: จำนวนแรงงานต่างชาติในในราชอาณาจักรไทย ก่อน-หลังการระบาดของโควิด-19 รายจังหวัด 

ที่มา : สถิติการทำงานของคนต่างด้าว โดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว 

การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวภายใต้ภาวการณ์แพร่ระบาด Covid-19 ตามมติ ครม. ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2563 ดำเนินการต่อทะเบียนให้กับแรงงาน 4 กลุ่ม ดังนี้  

  1. กลุ่ม MoU ทำงานครบ 4 ปี จำนวน 84,022 คน 
  2. กลุ่มตกขบวนยื่นเนมลิสต์ไม่ได้ จำนวน 475,085 คน 
  3. กลุ่ม MoU ที่เปลี่ยนนายจ้างไม่ได้ กลุ่มที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง และต่อไม่ทันเวลา 
  4. กลุ่มแรงงานชายแดน (Border pass) จำนวน 92,572 คน 

โดยใบอนุญาตทำงานมีอายุครั้งละ 3 เดือน แต่สามารถขอต่อเนื่องได้ไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2565 มีขั้นตอนและระเบียบดังนี้ 

แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 1 – 3  

  1. จะต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำงาน กับกรมการจัดหางาน ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 
  2. การตรวจสุขภาพ/ซื้อประกันสุขภาพ   การขอตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (Visa)   
  3. ทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู)  จะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565   

แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 4  

  1. ยื่นขอรับใบอนุญาตทำงาน กับกรมการจัดหางาน ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563  
  2. ตรวจสุขภาพ/ซื้อประกันสุขภาพ   

จากภาวะประชากรแรงงานต่างชาติที่ลดลงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานประมงและแรงงานก่อสร้างซึ่งได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่ำ มีความต้องการแรงงานต่างด้าว ใน 22 จังหวัดชายทะเลจำนวน 40,000-50,000 คนและแรงงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหายไปจากระบบ 100,000-200,000 คน 1

ในช่วงกรกฎาคม 2563 ที่ประชุมศบค. เห็นชอบแนวทางในการนำเข้าแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ “กัมพูชา ลาว และเมียนมา” เข้ามาทำงานตาม MOU ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยแรงงานต่างชาติต้องดำเนินตามมาตรการความปลอดภัยทางสาธารณสุข ให้ตรวจหาเชื้อ COVID-19 และกักตัว 14 วัน ก่อนออกใบอนุญาตทำงาน ซึ่งนายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 13,200-19,300 บาทต่อคน 2

จากมาตรการปลดล็อกการนำเข้าแรงงาน MOU นายจ้าง 82% ไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดของ สบค.และกระทรวงแรงงาน ที่สร้างภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้า เพิ่มสูงมากกว่าปกติจึงอยากให้รัฐช่วยแบ่งเบาภาระ ช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลง เช่น ค่าตรวจโรค ควรเป็นการตรวจโรคเพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรคโดยภาครัฐ รวมถึงให้พิจารณามาตรการกักตัวในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในช่วงที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤต COVID-19 และมีข้อเสนอแนะให้พิจารณาแบ่งการนำเข้าเป็น 3 ระยะ ได้แก่  

ระยะที่ 1 กลุ่มคนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานหรือมีสิทธิ์ในการทำงานเดิม  

ระยะที่ 2 กลุ่มคนต่างด้าวที่ดำเนินตามขั้นตอนการนำเข้าตาม MOU จนเกือบสิ้นสุดกระบวนการแล้ว มีนายจ้างรับที่ชัดเจน  

ระยะที่ 3 การนำเข้าแรงงานต่างด้าวตามระบบ MOU ที่เป็นคนใหม่ 

ทั้งนี้หากรัฐไม่ช่วยเหลืออุดหนุนอะไร นายจ้างอาจจะต้องจ้างแรงงานต่างด้าวที่ตกค้างในไทยที่ไม่ได้กลับบ้านแทนและอาจจ้างแบบผิดกฎหมาย เพื่อลดต้นทุน

ข้อเสนอที่ให้รัฐแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการกักตัว 

ควรปรับให้เหมาะสมตามความสะดวก โดยให้หาพื้นที่กักตัวของนายจ้างหรือ Organization Quarantine (OQ) โดยกำหนดข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ 

  1. การกักตัวแยกจะทำที่ไหน ควรมีเกณฑ์อย่างไรบ้าง และใครเป็นผู้ดูแลอนุญาต 
  2. สามารถรองรับจำนวนคนที่พอเหมาะต่อเวลาและสถานที่ เช่น ภายในปีนี้ เข้ามาหลายแสนคน จะเตรียม OQ กันอย่างไร เช่น ต้องเพิ่มเติม Local Quarantine (LQ) ที่ไหนจำนวนเท่าไร 
  3. ปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการกักตัวให้ต่ำลง จาก 1,500 ต่อคนต่อวันให้เหลือ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน 
  4. พิจารณาตามหลักการป้องกันเชิงสุขภาพควบคู่ด้วย เช่น สามารถให้กักตัวแบบ อยู่สองคน (เหมือนสามีภรรยา มี distancing) ถ้าทำได้ค่าใช้จ่ายต่อคนน่าจะไม่ถึง 1,000 บาท 

ปัญหาแรงงานเถื่อนซึ่งคาดว่าเป็นที่มาของการระบาดโควิดระลอก 2 ในไทย 

ปัญหาแรงงานเถื่อนหรือการนำเข้าผ่านชายแดนโดยไม่มีเอกสารเดินทาง หรือใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างชาติอย่างถูกต้อง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกที่แรงงานต่างชาติเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2,531 โดยเฉพาะแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน 3 สัญชาติ ประกอบด้วยเมียนมา กัมพูชา และลาว อีกทั้งมีธุรกิจจัดหานำเข้าแรงงานต่างชาติที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย อีกทั้งการตรวจสอบสถานประกอบการที่มีการจ้างงานแรงงานต่างชาติจำนวนมากของหน่วยงานรัฐเป็นไปในลักษณะหลับตาข้างหนึ่ง คืออาจเป็นไปในลักษณะสุ่มตรวจ หรือยืนยันเฉพาะจำนวนกับเอกสาร เหตุผลหนึ่งเพราะการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนแรงงานจำนวนมากจำเป็นต้องใช้เวลาและบุคลากรในการตรวจสอบสูง  

สาเหตุหลักของปัญหาแรงงานผิดกฎหมายคือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงานแบบถูกกฎหมาย และมีเงื่อนไขซับซ้อนต้องดำเนินการต่ออายุเอกสารอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายสำหรับนายจ้างในการนำเข้าแรงงาน 3 สัญชาติประเภท MOU ประมาณ 11,000 บาทต่อคน ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการทำเอกสารกับระเทศต้นทาง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมถึงหากนำเข้าช่วงโควิดจะต้องจ่ายค่ากักตัวเพิ่มอีก 13,200-19,300 บาทต่อคน เพื่อทำตามมาตรการด้านสาธารณสุข ดังนั้นหากจ้างงานแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายก็จะลดต้นทุน อีกทั้งไม่มีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และไม่ติดเงื่อนไขตามสัญญาจ้างใด ๆ  

อีกสาเหตุหนึ่งคือการมีมติคณะรัฐมนตรีผ่อนผันแรงงานต่างชาติที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายให้มาลงทะเบียนเป็นกลุ่มพิสูจน์สัญชาติอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 การผ่อนผันยังสร้างผลกระทบให้แรงงานต่างชาติที่ใบอนุญาตหมดอายุไปลงทะเบียนในกลุ่มพิสูจน์สัญชาติเพื่อรับการอนุญาตทำงานแทนการต่ออายุ 

แนวทางแก้ไขปัญหา แรงงานต่างชาติที่เข้ามาประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย คือ 1. ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ต้องเอาผิดกับนายจ้างที่จ้างงานแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และลดความหละหลวมของพื้นที่ชายแดนที่ลักลอบนำเข้าแรงงานต่างชาติ 2. หยุดประกาศผ่อนผันจดทะเบียนแรงงานที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย 3. ให้สามารถนำเข้าแรงงานต่างชาติผ่านระบบ MOU เท่านั้น 4. ลดภาระต้นทุนการนำเข้าเพื่อลดแรงจูงใจในการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย 

ปัญหาการแรงงานต่างด้าวถูกลอยแพจากนายจ้าง 

จากการประกาศตรวจเชื้อแรงงานต่างชาติ สั่งกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมาย ช่วง ธันวาคม 2563 เกิดผลกระทบคือ แรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าประเทศจำนวนมากถูกนายจ้างนำมาปล่อยตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงความผิดจากการตรวจเจอการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ภาครัฐจำเป็นต้องรับภาระในการดูแลรับผิดชอบสวัสดิภาพของแรงงานเหล่านี้ 

แนวทางแก้ไขหลังเกิดปัญหา  

หากพบแรงงานต่างชาติลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายที่ไม่มีนายจ้างในกรณีปกติจะทำการส่งกลับประเทศต้นทาง แต่แนวทางในสถานการณ์นายจ้างลอยแพแรงงานต่างชาติควรนำมาจดทะเบียนแล้วหาตำแหน่งงานรองรับเนื่องจากแรงงานเหล่านี้มีตำแหน่งงานรองรับ หากส่งกลับประเทศนายจ้างก็มีแนวโน้มที่จะนำเข้ามาใหม่สำหรับตำแหน่งงานนั้น ๆ แต่วิธีนี้ยังติดปัญหาด้านค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจหาโรค และการหาตำแหน่งงานรองรับ 

แนวทางลดการจ้างงานแรงงานต่างชาติระยะยาว 

สัดส่วนการจ้างงานแรงงานต่างชาติไม่ได้เป็นปัญหาหลัก อาจเป็นภาระด้านการกำกับดูแล การแย่งชิงสินค้าสาธารณะ และเงินไหลออกนอกประเทศ ปัญหาแท้จริงคือแรงงานทักษะต่ำทำให้อุตสาหกรรมในประเทศพึ่งพิงการเพิ่มผลิตภาพจากจำนวนแรงงาน ไม่มีแรงจูงใจในการผลิต และนำเทคโนโลยีมาใช้ ส่งผลให้ผลิตภาพโดยรวมข้องประเทศในระยะยาวเติบโตช้า  

แนวทางการลด ลดการจ้างงานแรงงานทักษะต่ำ  

ผลักดันอุตสาหกรรมที่สามารถนำเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานต่างชาติได้ เช่น ในอุตสาหกรรมการเกษตร รวมไปถึงแปรรูปอาหาร 2. นโยบายจ้างออกให้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เช่น ประมง-แพกุ้ง อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้า อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังอยู่ในไทยเนื่องจากต้นทุนคงที่ (fixed cost) ที่ลงทุนไปแล้ว สามารถย้ายฐานการผลิตไปประเทศต้นทางและใช้วิธีการขนส่งสินค้าแทนได้ 3. จำกัดประเภทและจำนวนการจ้างงานในแต่ละอุตสาหกรรมให้เหลือเฉพาะเท่าที่จำเป็นต้องใช้ทดแทนงานประเภทที่ ไม่สามารถทดแทนด้วยเทคโนโลยี และคนไทยไม่ทำ เช่น อุตสาหกรรมการบริการ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และรับใช้ในบ้าน 


1 แรงงานต่างด้าวขาดแคลนหนัก “ก่อสร้าง-ประมง” ต้องการ 1.2 ล้านคน (https://www.prachachat.net/economy/news-495666) 
2 แรงงานต่างด้าว MOU เฮ! หลัง ศบค. อนุมัติให้เข้าประเทศ แต่ต้องกักตัว 14 วัน (https://www.komchadluek.net/news/regional/437877) 
3 แบบสอบถามโครงการนายจ้างสีขาวฯ (GEFW) จากนายจ้างที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวและนำเข้า MOU 172 ราย 


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ 
สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

โดย คณะผู้วิจัย TDRI
29 มกราคม 2564