ผลของมาตรการเยียวยาของรัฐบาลจากปัญหาการระบาดของ COVID-19
ที่มีต่อต่อภาคเศรษฐกิจ การมีงานทำและการว่างงาน

ความจำเป็นในการเยียวยาของรัฐบาลเกิดจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงก่อนปี 2560 ถึง ปี 2562 เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีการขยายตัวในแต่ละไตรมาส (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของตัวแปรด้านค่าใช้จ่าย (รูปที่ 2) ที่มีขยายตัวค่อนข้างดีเกือบทุกตัวแปรแต่หลังปี 2561 ถึง 2562 ขยายตัวของตัวแปรด้านค่าใช้จ่ายเริ่มชลอตัวโดยเฉพาะในภาคส่งออกของประเทศทำให้ภาคเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศถดถอยแต่ก็ยังขยายตัวเป็นบวกในช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และแล้วเมื่อเริ่มเกิดการระบาดเป็นกรณีแรกเมื่อเดือนมกราคม 2563 ส่งผลทำให้ทุกตัวแปรมหภาคด้านค่าใช้จ่ายเริ่มขยายตัวลดลงในไตรมาสแรกคงเหลือตัวแปรส่งออกตัวเดียวที่ยังขยายตัวและในที่สุดทุกตัวแปรมหภาคด้านค่าใช้จ่ายลดลงทุกตัวโดยเฉพาะภาคการส่งออกและนำเข้าได้ลดลงอย่างรุนแรงจากการ lock down การเดินทางระหว่างประเทศและอุปสงค์โดยรวมของผู้นำเข้าจากต่างประเทศลดลงจึงเป็นเหตุให้รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีลดการชลอตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการบริโภคของเอกชนในประเทศและจำเป็นต้องเพิ่มตัวแปรค่าใช้จ่ายหรือการบริโภคของภาครัฐเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ลดลงอย่างรุนแรงด้วยการดูแลคนขาดรายได้หรือไม่มีเงินหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยจากความพยายามของภาครัฐในการลดการระบาดของ COVID-19 ด้วยมาตรการด้านการควบคุมโรคที่กระทบเศรษฐกิจโดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในภาพรวมโดยในปี 2563 รัฐบาลได้ออกมาตรการมากมายหลายอย่างเพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไป

รูปที่ 1: อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP), รายไตรมาส (มูลค่าที่แท้จริง)

ที่มา:สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีพ.ศ.2540-2564

รูปที่ 2: อัตราการขยายตัวขององค์ประกอบผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้านการใช้จ่าย
           ณ มูลค่าที่แท้จริง

ที่มา:สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีพ.ศ.2560-2564

จากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงดังได้กล่าวมาแล้วอันเป็นผลจากการระบาดของ COVID-19 ในแต่ละระยะจะแตกต่างกันออกไป โดยการระบาดระยะแรกเริ่มประมาณต้นเดือนมกราคม 2563 ไปจนเกือบสิ้นปี 2563 ซึ่งเกิดระบาดจากแหล่งกระจุกตัวของแรงงานต่างด้าวในจังหวัดปริมณฑล โดยช่วงแรกของการระบาดและรัฐต้องใช้มาตรการหยุดกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดสูง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ ซึ่งมี SMEs อยู่เป็นจำนวนมากและมีการให้หยุดงานและ/หรือให้รองาน มีการรักษาระยะห่าง lock down ประเทศ (เนื่องาจากต่างประเทศเริ่มมีการระบาดของ COVID-19 อย่างกว้างขวางเช่นกัน)  ทำให้ต้องมีการดูแลเร่งด่วนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้มีเครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างครบถ้วนก่อน ตามด้วยการพยุงธุรกิจ SMEs โดยการจัดสรรวงเงินสินเชื่อไว้ถึง 20 ล้านบาท/ราย แต่วงเงินที่ใช้ไปจากฝ่ายของรัฐบาลเพียง 7,500 ล้านเท่านั้น (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ระยะที่ 1-3

มาตรการดูแลเยียวยาวงเงินงบประมาณ (ล้านบาท)
1. มาตรการดูแลเยียวยาระยะที่ 1 (เฉพาะที่ประมวลตัวเงินได้)27,500
1.1 มาตรการดูแลและเยียวยาประชาชน (ค่าเสี่ยงภัยให้บุคลากรทางการแพทย์)20,000
1.2 มาตรการดูแลและเยียวยาผู้ประกอบการ (สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 150,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ย 2% 2 ปี สินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาท/ราย)7,500
2. มาตรการดูแลและเยียวยาระยะที่ 2 (เท่าที่มีการเปิดเผยข้อมูล)455,956
2.1 มาตรการดูแลเยียวยาอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม 
    2.1.1 มาตรการชดเชยรายได้แรงงานนอกระบบประกันสังคม 16 ล้านคน (5,000 บาท/3 เดือน240,000
    2.1.2 มาตรการชดเชยรายได้ของเกษตร 10 ล้านคน (5,000 บาท/3 เดือน)150,000
    2.1.3 มาตรการเยียวยากลุ่มเปราะบาง 6.8 ล้านคน (1,000 บาท/3 เดือน)20,400
    2.1.4 มาตรการเยียวยาผู้ที่ไม่ได้รับการเยียวยาใด 1.16 ล้านคน (1,000 บาท/ 3 เดือน)3,480
    2.1.5 สินเชื่อฉุกเฉิน 10,000 บาทต่อราย (ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท21,600
    2.1.6 สินเชื่อพิเศษ 50,000 บาทต่อราย (มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท6,000
    2.1.7 สำนักงานธนานุเคราะห์รับจำนำดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท96
    2.1.8 ยึดการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2563 (ไปจนถึงกลางปี 2564)ไม่มีข้อมูล
    2.1.9 หักลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น (สูญเสียรายได้)2,500
    2.1.10 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทพย์และสาธารณสุข (สูญเสียรายได้)125
    2.1.11 มาตรการเสริมความรู้ (ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธพว.)4,380
2.2 มาตรการดูแลและเยียวยาผู้ประกอบการ 
    2.2.1 สินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการรายย่อย (ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย) (สูญเสียรายได้)10,000
    2.2.2 ยกเว้นอาคารขาเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษา COVID-19500
    2.2.3 ยกเว้นภาษีและลดค่าธรรมเนียมจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Non-bank) (สูญเสียรายได้)1,235

ที่มา: รวบรวมจากแหล่งต่างๆ โดยคณะวิจัย

สำหรับการระบาดในรอบ 2 ประเทศไทยได้รับผลกระทบรุนแรงและเร็วกว่าการระบาดรอบแรก ศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดโควิด-19 (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโคโรนา 2019 :ศบค.) ต้องทุ่มเททั้งทรัพยากรบุคคลทางการแพทย์และต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดในแถบปริมณฑลและจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง มีเสียงเรียกร้องให้มีการดูแลกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เพิ่มขึ้นทั้งจากแรงงานในระบบ ซึ่งมีตัวเลขการว่างงานเพิ่งเริ่มจะฟื้นตัวก็กลับไปอยู่ในระดับสูงใกล้ๆ กับ 1.4% อีกครั้ง มาตรการดูแลและเยียวยารอบนี้จึงเพิ่มขึ้นมากกว่าการระบาดรอบแรกเพียง 0.97% เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 14%

มาตรการที่ใช้เงินมากที่สุดลำดับแรกคือ การเยียวยาแรงงานนอกระบบซึ่งมีจำนวนมากกว่า 16 ล้านคน ใช้วงเงินงบประมาณประมาณ 2.4 แสนล้านบาท บวกมาตรการชดเชยรายได้เกษตรกรอีก 10 ล้านคน เป็นเงิน 1.5 แสนล้านบาท ตามด้วยมาตรการช่วยเหลือกลุมเปราะบาง 6.8 ล้านคนๆ ละ 1,000 บาท 3 เดือน เป็นเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท และเงินช่วยเหลือสินเชื่อฉุกเฉิน 10,000 บาทต่อราย โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับ Micro Enterprises หรือธุรกิจขนาดย่อม วงเงิน 40,000 ล้านบาท แต่ใช้ไป 20,000 ล้านเศษเท่านั้น และยังมีสินเชื่อพิเศษ 50,000 ล้านบาท แต่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงิน 20,000 ล้านบาท แต่ใช้วงเงินไปจริงประมาณ 6,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยยอดรวมของการดูแลและเยียวยารอบ 2 วงเงินงบประมาณ 455,956 ล้านบาทนี้ ได้ช่วยเหลือกลุ่มแรงงานนอกระบบและกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มตกหล่นจากระบบที่เป็นคนไทยไปเกือบ 34 ล้านคน มากกว่า 50% ของประชากรของประเทศ แน่นอนการเยียวยาครั้งนี้ ทำให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยและไม่แน่นอนเป็นสัดส่วนแรงงานนอกระบบที่สูงมาก แต่การใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งเป็นเงินกู้ทำให้หนี้สาธารณะสุทธิขยับสูงขึ้นเกือบ 8 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 49% ของ GDP (รูปที่ 3) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 9 ของ GDP ภายในช่วงเวลา 3 ไตรมาสของปี 2563

เมื่อได้ดูแลและเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนเงินไหลเข้าสู่ระบบมากขึ้น ทำให้นักเศรษฐกิจหลายสำนักมองว่า ไตรมาส 4 จะเริ่มมีโอกาสฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ภาวะการจ้างงานในตลาดแรงงานน่าจะดีขึ้นตามไปด้วย โดยรัฐบาลคาดว่าจะกู้เงินประมาณ 1.9 ล้านล้านบาทมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยแบ่งเงินเป็น 3 ยอดคือ เป็น พ.ร.บ. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อนำมาเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ
1 ล้านลานบาท พ.ร.ก. เงินกู้ให้อำนาจ ธปท. เพื่อดูแลภาคธุรกิจ SMEs เป็นการเฉพาะ 5 แสนล้านบาทและยอดสุดท้าย 4 แสนล้านบาท เป็น พ.ร.ก. เงินกู้เพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดการเงินของประเทศ นอกจากนั้น รัฐบาลยังจัดสรรวงเงินงบประมาณจำนวน 24,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนคนไทยท่องเที่ยวเนื่องจากการระบาดจะบรรเทาลงสามารถผ่อนปรนให้คนไทยเที่ยวไทยด้วยมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน”

รูปที่ 3: หนี้สาธารณะคงค้างสุทธิ

ที่มา: สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจให้ทางรัฐบาลเข้าช่วยภาค SMEs เพิ่มขึ้นอีก 114,000 ล้านบาท และสุดท้ายเป็นมาตรการที่สำคัญที่จะต้องพยุงให้การบริภาคภายในประเทศเป็นเงินมากกว่า 243,000 ล้านบาทกับโครงการ 1) การเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (20,923 ล้านบาท)
2) โครงการคนละครึ่ง (35,000 ล้านบาท) 3) โครงการเราชนะ (210,000 ล้านบาท) 4) โครงการคนละครึ่ง เฟส 2 (17,000 ล้านบาท) และ 5) โครงการ ม.33 เรารักกัน (37,000 ล้านบาท) (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2: มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ระยะที่ 3

                                                                                                      หน่วย: ล้านบาท

มาตรการดูแลเยียวยาวงเงินงบประมาณ (ล้านบาท)%
1. มาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบ COVID-19 (รอบ 3)1,900,00080.6
1.1 พ.ร.ก กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ1,000,000 
    1.1.1 แผนงานทางการแพทย์และสาธารณสุข (45,000 ลบ.) 
    1.1.2. แผนงานเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ (550,000 ลบ.) 
    1.1.3 แผนงานเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม (400,000 ลบ.) 
1.2 พ.ร.ก. ให้อำนาจ ธปท. เพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs (500,000 ลบ.)500,000 
1.3 พ.ร.ก. ดูแลเสถียรภาพตลาดการเงิน มูลค่า 400,000 ล้านบาท400,000 
1.4 การขยายวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่ระดับ 5 ล้านบาท ไปอีก 1 ปี (ไม่มีตัวเลข) 
1.5 มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจ Non-banks (ไม่มีตัวเลข) 
1.6 การปรับลดเงินนำส่งาจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว (ไม่มีตัวเลข) 
2. มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน24,0001.0
3. มาตรการดูแล SMEs เพิ่มเติม114,1004.8
4. มาตรการ “รักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ”320,52313.6
4.1 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ20,923 
4.2 โครงการคนละครึ่ง35,000 
4.3 มาตรการลดหย่อนภาษีช้อปดีมีคืน (สูญเสียรายได้)14,000 
4.4 เราชนะ210,000 
4.5 คนละครึ่ง เฟส 217,000 
4.6 ม.33 เรารักกัน37,000 
4.7 มาตรการลดค่าครองชีพ (ไม่มีข้อมูล) 
    – ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก 
    – ลดค่าน้ำประปา 10 หน่วย 
รวมวงเงินงบประมาณ2,358,623100

ที่มา: รวบรวมจากแหล่งต่างๆ โดยคณะวิจัย

จะเห็นว่า การกู้เงินจำนวนมหาศาลทำให้นักเศรษฐศาสตร์เริ่มกังวลเรื่องวินัยทางการคลัง เนื่องจากหนี้สาธารณะคงค้าเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นไตรมาส 4 ปี 2563 ยอดคงค้างสุทธิจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 51% ของ GDP เพิ่มขึ้นถึง 10% จากไตรมาสแรกของปี 2563 ถ้าการก่อหนี้ใหม่อีกประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท อาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างสุทธิต่อ GDP สูงกว่า 60% ของ GDP ซึ่งไม่เป็นไปตามกรอบวินัยทางการคลังที่คณะกรรมการนโยบายการคลังได้กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 60% อย่างไรก็ตาม ถ้าหากการระบาดรอบ 3 ของ COVID-19 ซึ่งกำลังระบาดรุนแรงกว่ารอบ 2 อยู่ในขณะนี้มีลักษณะเป็นดาวกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ (อาจจะเกิดจากการปล่อยให้คนไทยกลับไปฉลองสงกรานต์อย่างเต็มที่เมื่อเดือนเมษายน) มีจำนวนผู้ป่วยใหม่ ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยประสบมาก่อน (รูปที่ 4)

รูปที่ 4: แนวโน้มการระบาดของ COVID-19 ระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 3 มกราคม 2563 – เมษายน 2564

ที่มา: แนวโน้มผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั้งหมดในประเทศไทย อัปเดตล่าสุด17/05/2021 จากเว็ปไซด์ https://covid19.workpointnews.com/

ความจำเป็นที่จะต้องเยียวยาทั้งผู้ที่เดือดร้อนจากการใช้มาตรการของรัฐและใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกรอบ ก็อาจจำเป็นต้องกู้เงินอีก 1-2 ล้านล้านบาท ซึ่งแน่นอนเพดานหนี้สาธารณะสุทธิน่าจะเกินกว่าร้อยละ 60 แน่นอน ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าจำเป็นต้องกู้ก็ต้องทำจนกว่าภูมิคุ้มกันหมู่จากการระบาดของ COVID-19 จะเกิดกับคนไทยทั้งประเทศด้วยการได้รับวัคซีนทุกคน (2 เข็ม) มากกว่า ร้อยละ 70 หรือคิดเป็นประชาการประมาณ 47 ล้านคนและใช้วัคซีนเกือบร้อยล้านโด๊สซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาไปจนถึงเกือบสิ้นปี 2564 ประชากรไทยจึงจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity)

          กล่าวโดยสรุปคือการใช้เงินจำนวนมหาศาลมากกว่า 2.8 ล้านล้านบาทดังสรุปในตารางที่ 3 ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูแลความเดือดร้อนของประชาชนไม่ให้มากจนเกินไป ซึ่งก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมาตรการมากมายหลายที่รัฐทุ่มลงไปกับภาคการผลิตต่างๆอย่างต่อเนื่องคาดว่าเศรษฐกิจ มหภาคของประทศไทยน่าจะขยายตัวได้มากกว่า 3.5% ในปี 2564 แต่เมื่อติดตามดูสถิติการระบาดของ COVID-19 ของ ศบค. ซึ่งทุกคนคิดว่าในไตรมาสแรกของปี 2564 น่าจะ “เอาอยู่”แต่ปรากฏว่าไทยต้องประสบกับการระบาดเพิ่มเติมจาก super clusters ต่างๆทั้งเก่าและใหม่สลับกันอยู่เรื่อยไปเมื่อประชาชนเริ่มประมาทและการ์ดตกเป็นดาวกระจายจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกระจายไปอีกหลายจังหวัดแต่ละภูมิภาคของประเทศจนยอดผู้ติดเชื้อ ณ วันที่ 18 พฤษภาคมสะสมเกือบแสนคนแน่นอนจากการที่การระบาดยัง”เอาไม่อยู่”ความหวังที่เศรษฐกิจจะสามารถฟ้นตัวได้ดังที่คาดการณ์กันใว้โดย TDRI สำนักงานสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็หมดไป ต้องคิดกันใหม่โดยตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2564 จะยังคงติดลบต่อเนื่องจากปีที่แล้วรวมเป็นไตรมาสที่ 5 ทำให้ตัวเลขที่คาดการณ์การขยายตัวหลังสุดของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 น่าจะเติบโตระหว่าง 1.5-2.5% เท่านั้น

ตารางที่ 3: สรุปวงเงินงบประมาณที่ใช้ไปในการเยียวยาผลกระทบ COVID-19 3 ระยะ

มาตรการดูแลเยียวยาล้านบาท%
ระยะที่ 127,5000.97
ระยะที่ 2455,95616.00
ระยะที่ 32,358,62383.00
รวม2,842,079100.00

ที่มา: สรุปตารางที่ 1 และ 2

          สรุปก็คือเมื่อเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นในไตรมาสแรกของปี 2564 ส่งผลให้ตัวเลขการว่างงานไตรมาสแรกจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่เพิ่งเปิดเผยมาก็ยืนยันผลกระทบชัดเจนว่าการว่างงานขยับขึ้นเป็น 2 % การว่างงานเชิงรายได้ก็จะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีก เช่นการทำงานต่ำระดับเพิ่มมากขึ้นอีกหลายล้านคนคนที่เคยทำงานได้เต็มที่มากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ลดลงอีกต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2563 การที่สถานการณ์ตลาดแรงงานเป็นเช่นนี้เป็นผลพวงจากการระบาดโควิดยังดำเนินการอยู่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวและดูดซับแรงงานเข้าไปในระบบการจ้างงานได้ดังที่คาดไว้ถ้ายังจะใช้นโยบายดูและและเยียวยาอยู่ต่อไปรัฐบาลคงหนีไม่พ้นที่จะต้องกู้เงินอีกนับล้านล้านบาทมาค้ำยันเศรษฐกิจเยียวยาคนตกงานและที่ต้องขาดรายได้เพราะมาตรการป้องกัน COVID-19 รอยสามจนท้ายที่สุดอย่าลืมเจียดเงินไม่กี่แสนล้านมาจัดหาวัคซีนให้ประชากรไทยทุกคนได้รับวัคซีน 100% รัฐบาลอาจจะไม่ต้องกู้เงินมากมายเหมือนรอบที่แล้วก็ได้เพราะประชาชนเขาคงหารายได้ๆเองโดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะต้องตายด้วยความเสี่ยงที่จะติดโรค COVID-19 ซ้ำก็ตาม

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ 
สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

โดย คณะวิจัย TDRI
17 พฤษภาคม 2564