เป็นเวลากว่าหนึ่งปีครึ่งที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศทั่วโลก วิกฤตการณ์ดังกล่าวสร้างผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนเปลี่ยนไป รัฐบาลต่างออกนโยบายและบังคับใช้ข้อกำหนดต่าง ๆ เพื่อมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ บรรเทาปัญหาปากท้องของประชาชนและลดจำนวนผู้ติดเชื้ออันนำไปสู่ความสูญเสีย อย่างไรก็ตาม ปัญหาเยาวชนว่างงาน-นอกการศึกษายังคงเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO ได้เรียกเยาวชนกลุ่มนี้ว่า NEET (Not in Education, Employment or Training)โดยได้นิยามว่าหมายถึง เยาวชนอายุ 15-24 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน และการฝึกอบรม รายงานฉบับล่าสุดของ ILO บ่งชี้ว่า สัดส่วนของประชากรกลุ่ม NEET เพิ่มขึ้นในหลายประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงไปสู่ระดับก่อนวิกฤตการณ์การระบาด
งานวิจัยในประเทศแคนาดาโดย Brunet (2020) พบว่า สาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นของเยาวชนกลุ่ม NEET ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เกิดจากการจ้างงานที่ลดลง ตลอดจนการปิดสถานศึกษาและการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนไปสู่การจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับเสียงสะท้อนจากภาคส่วนต่าง ๆ เรื่องความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ในประเทศไทยที่ครัวเรือนจำนวนหนึ่งยังขาดความพร้อมในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ และสอดคล้องกับรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ระบุว่าผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้เกิดอัตราการขยายตัวของจำนวนเยาวชนไทยว่างงานสูงขึ้นร้อยละ 3-4 หรือคิดเป็นเกือบ 5 เท่าของแรงงานผู้ใหญ่
จากข้อมูลสำรวจภาวะการทำงานของประชากรไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กลุ่ม NEET ประกอบด้วย 4 ประเภท ได้แก่ 1.เยาวชนที่ทำงานบ้าน 2.อยู่ว่างหรือกำลังพักผ่อน 3.ยังเป็นเด็ก ป่วย พิการ จนทำงานไม่ได้ และ 4.ว่างงาน จากการระบาดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ทำให้มีกลุ่ม NEET อยู่ที่ 1.37 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 10 ปี
ถึงแม้ว่าการระบาดของ COVID-19 ในระลอกที่ 3 (ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564) พบจำนวนของกลุ่ม NEET ปรับตัวลดลงร้อยละ 9.32 หรือ 1.25 ล้านคน เนื่องจากมีกลุ่ม NEET ในสถานะพักผ่อนปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 22.64 และเป็นที่น่าสังเกตว่าจากการระบาดทั้งสามระลอกทำให้เด็กกลุ่ม NEET มีสถานะว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.73 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 กับปี 2564 (รูปที่ 1) ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่าเยาวชนกลุ่มพักผ่อนได้เปลี่ยนสถานะเป็นกำลังหางาน หรือ ว่างงาน เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ในขณะที่เยาวชนบางส่วนได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 1.8
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ รศ.ดร.ประวิต เอราสรรณ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พบว่า นักเรียนไทยมีการเข้าถึงการเรียนแบบออนไลน์เพียงร้อยละ 50 และมีภาวะเครียด การเรียนถดถอย ส่งผลให้ร้อยละ 10 ของนักเรียนหลุดจากระบบการศึกษา จึงเป็นปัญหาน่าห่วงที่ต้องได้รับการแก้ไขไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนหรือการเร่งการฉีดวัคซีนในกลุ่มนักเรียนทั้งในและนอกระบบ เพื่อให้โรงเรียนสามารถเปิดการเรียนการสอนแบบไฮบริด หรือ แบบปกติได้
ปัจจัยหลัก 2 ประการที่ส่งผลให้เยาวชนกลุ่ม NEET มีอัตราการขยายตัวในสถานะผู้ว่างงานที่สูงขึ้นกว่าปกติ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ทำให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ ขาดรายได้อย่างเฉียบพลัน (Income Shock) และ การระบาดของ COVID-19 โดยสภาวะขาดรายได้เฉียบพลันส่งผลกระทบยาวนานต่อฐานะทางการเงินของภาคเอกชนติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ทำให้ต้องเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ แรงงานเยาวชนที่มีอายุ 15-24 ปี
จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ บ่งชี้ว่า เยาวชนไทยมีแนวโน้มว่างงานเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70.81 และมีอัตราการว่างงานสูงสุดในรอบ 10 ปี เมื่อวิเคราะห์จากการระบาดของ COVID-19 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563กับ ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 พบว่า เยาวชนที่สำเร็จการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา (ปวส.หรืออนุปริญญา) มีการเปลี่ยนแปลงในสถานะว่างงานสูงถึงร้อยละ 124.3 รองลงมา คือ ต่ำกว่าประถมศึกษาร้อยละ 95.5 และปริญญาตรี ร้อยละ 79.4 ในมิติของเพศเยาวชนกลุ่ม NEET มีความเปราะบางจากผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง เนื่องจากร้อยละ 70 ของกลุ่ม NEET เป็นเพศหญิง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเนื่องจากการตั้งครรภ์ และอยู่ในสถานะทำงานบ้านกว่าร้อยละ 76 (TDRI, 2020)
ดังนั้น การหยุดชะงักของระบบเศรษฐกิจและการศึกษาอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นของการกลายเป็นกลุ่ม NEET และส่งผลกระทบรุนแรงต่อทักษะในการพัฒนาสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตยาวนานเกินกว่าที่จะประเมินได้ ดังแสดงตามรูปที่ 2 และ 3
จากการทบทวนแนวทางการแก้ปัญหาให้แก่เยาวชนกลุ่ม NEET ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในต่างประเทศพบว่า ในกลุ่ม OECD งานวิจัยโดย Palmer and Small (2021) ชี้ให้เห็นว่าภาครัฐจำเป็นต้องลงทุนกับโครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Net) ที่ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเสี่ยงโดยมุ่งเน้นการจ้างงาน การศึกษาการฝึกอบรม การฝึกงานที่ได้รับค่าจ้าง การพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดหาที่พักอาศัย ตลอดจนการดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจทั้งในระยะสั้นเพื่อให้เยาวชนกลุ่ม NEET สามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้และระยะยาวเพื่อให้พวกเขาอยู่รอดได้ในอนาคต
นอกจากนี้ งานวิจัยในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย โดย Tamesberger and Bacher (2021) ชี้ให้เห็นว่าการพยายามลดสัดส่วนเยาวชนกลุ่ม NEET เป็นความต้องการจำเป็นทางการเมืองทั้งในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับสหภาพยุโรป
หนึ่งในโปรแกรมที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2556 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551 คือ The European Youth Guarantee ที่ให้หลักประกันว่าเยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปีทุกคนจะต้องมีงานทำ ได้ศึกษาต่อ หรือได้รับการฝึกอาชีพอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลาไม่เกิน 4 เดือนหลังจากว่างงาน
ต่อมาได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่มเติม Youth Employment Support Package ในปี 2563 ซึ่งครอบคลุมการปรับปรุง The European Youth Guarantee ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น การศึกษาอบรมอาชีวศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต การส่งเสริมการฝึกอาชีพระยะยาว (Apprenticeship) และมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานให้แก่เยาวชน เพราะไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำว่าหลังจากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แล้วการจ้างงานในกลุ่มเยาวชนจะฟื้นตัวขึ้นหรือไม่
ในประเทศไทย ผู้เขียนเสนอแนะให้ภาครัฐดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มNEET จากผลกระทบของ COVID-19 ดังนี้
1) แก้ปัญหาเยาวชนจบใหม่ตกงาน ปัญหาที่สำคัญ ณ เวลานี้ คือ ภาครัฐยังขาดการประชาสัมพันธ์การเข้าถึงตลาดแรงงานของเยาวชน และการใช้เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จากการที่ยังมีกลุ่มเยาวชนว่างงาน ทั้งที่มีช่องทางในการสร้างงานให้กับกลุ่มเหล่านี้
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com เป็นการจับคู่ (Match) ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสำหรับเด็กจบใหม่ (บัณฑิตยุค COVID-19) การดำเนินนโยบายหางานผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของภาครัฐอาจเป็นทิศทางการแก้ไขปัญหาที่ดี แต่ยังมีช่องว่างของการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว เช่น Smart Job Center และไทยมีงานทำ ซึ่งยังไม่มีส่วนประกอบของระบบการพัฒนาทักษะและการติดตาม Job matching รวมอยู่ด้วย
2) กำหนดมาตรการรักษาการจ้างงาน (Job Retention) สำหรับแรงงานที่มีงานทำอยู่แล้ว การใช้มาตรการรักษาการจ้างงานของภาครัฐเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสนับสนุนการจ้างงานในตลาดแรงงานต่อไป ผ่านการอุดหนุน (Subsidy) เงินชดเชยรายได้บางส่วนที่นายจ้างลดชั่วโมงการทำงาน/วันทำงานของแรงงานลง
ขณะที่นายจ้างก็ไม่มีต้นทุนเพิ่มเติมในการหาแรงงานใหม่หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับแรงงานอาจให้การช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfers: CCT) เพื่อเพิ่มทุนมนุษย์ (Human Capital) เช่น ด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานการรับเงินเยียวยาร่วมกับการฝึกอบรมทักษะที่ต้องใช้ในการทำงานหรือการเปลี่ยนงานในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนไม่ให้หลุดจากตลาดแรงงานมากขึ้นในอนาคต
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ นโยบายและมาตรการเพื่อรองรับและป้องกันผลกระทบของ COVID-19 ต่อแรงงานและการจ้างงาน ระยะที่ 1
บทความ โดย ดร.วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ อุษณีย์ ศรีจันทร์ นักวิจัย นโยบายทรัพยากรมนุษย์ ทีดีอาร์ไอ
แหล่งที่มาข้อมูล
Brunet, S., Statistics Canada, & Council of Ministers of Education, C. (CMEC). (2020). Impact of the COVID-19 Pandemic on the NEET (Not in Employment, Education or Training) Indicator, March and April 2020. Education Indicators in Canada: Fact Sheet. In Statistics Canada. Statistics Canada.
Palmer, A. N., & Small, E. (2021). COVID-19 and disconnected youth: Lessons and opportunities from OECD countries. Scandinavian Journal of Public Health, 1. https://doi.org/10.1177/14034948211017017
Tamesberger, D., & Bacher, J. (2021). Combating Youth Unemployment with a Fair EU Youth Guarantee. CESifo Forum, 22(4), 3–7.
Thailand DevelopmentResearchInstitute. (2020).Youth Employability Scoping Study.Retrieved from shorturl.at/sxDL3