tdri logo
tdri logo
3 พฤศจิกายน 2022
Read in Minutes

Views

โครงการ CASE เชิญตัวแทนเอกชน ประชาสังคม และวิชาการให้ข้อเสนอรัฐบาล เพื่อรักษาคำมั่นพาไทยบรรลุ Carbon Neutrality 2050

องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ), กระทรวงเศรษฐกิจ และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งรัฐบาลเยอรมัน (BMWK), สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “ทบทวนคำสัญญาผู้นำไทยกับความเป็นไปได้สู่เวทีCOP27”   ในงานเสวนาสาธารณะ “จาก COP26 สู่ COP27: เดินหน้าภาคพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน2050”  ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ 

โดยได้รับเกียรติจาก คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม(สผ.) คุณอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงานและคุณสฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนอภิปรายถึงความคืบหน้าและให้ข้อเสนอต่อการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จากคำมั่นสัญญาผู้นำไทยใน COP26 และการเข้าร่วม COP27 ในช่วงเดือน พ.ย.นี้

คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร  รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้นำเสนอ ความคืบหน้าของการดำเนินงานของภาครัฐในการปฏิบัติตามคำมั่นที่ผู้นำไทยได้ให้ไว้ในการประชุม COP26 โดยระบุว่าประเทศไทยมีมาตรการขับเคลื่อนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจก ที่เหมาะสมกับภาคการปล่อยคาร์บอนจาก 4 แหล่ง ได้แก่ ภาคพลังงาน/ขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ของเสีย และภาคเกษตร และภาคที่ช่วยดูดซับคือ ภาคป่าไม้ ซึ่งมีความท้าทายอยู่มาก เนื่องจากภาคป่าไม้มีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนได้น้อยกว่าการปล่อยคาร์บอนจากทั้ง 4แหล่ง  อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้วางหมุดหมาย Roadmap ในการใช้เทคโนโลยีและมาตรการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้ทันกับกรอบเวลาที่กำหนด และรายงานต่อเวที COP27 ในปีนี้  

คุณจิรวัฒน์ ย้ำว่า “ขณะนี้ประเทศไทยคืบหน้าไปแล้วในหลายด้านทั้งด้านนโยบาย และการกำกับดูแลที่ได้บรรจุมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายลงในแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทที่เกี่ยวข้องรวมทั้งแผนพลังงานชาติ รวมทั้งอยู่ระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพ.ศ….. ที่จะทำให้หลายเรื่องคืบหน้าในทางปฏิบัติ  เช่น การใช้คาร์บอนเครดิต กลไกทางการเงินและภาษีคาร์บอน เป็นต้น” 

คุณอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมากต่อการลดการปล่อยคาร์บอน เนื่องจากหากไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้จะส่งผลให้เกิดการลดการผลิต ไปจนถึงย้ายฐานการผลิต ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ลงทุนและเดินหน้าเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนเท่าที่ภาคเอกชนจะสามารดำเนินการได้ แต่ยังมีส่วนที่สำคัญที่ภาครัฐเท่านั้นที่มีอำนาจดำเนินการได้ เช่นโครงสร้างพื้นฐาน และกฏระเบียบ เป็นต้น  

คุณอาทิตย์ กล่าวสรุปสิ่งที่ต้องการจากภาครัฐ คือ ความชัดเจนและการสื่อสารที่ถูกต้องไม่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนพลังงานสะอาดของประเทศ เพื่อมีข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับการช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งการหนุนพลังงานสะอาดไปพร้อม ๆ กับ Grid Modernization หรือการปรับปรุงพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และ ระบบจำหน่ายไฟฟ้า โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย  เพื่อช่วยภาคเอกชนลดก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยทางอ้อมผ่านระบบไฟฟ้า ซึ่งเอกชนไม่สามารถลดได้เอง 

และยังได้เสนอแนะว่าโควต้าการดูดซับคาร์บอน ควรวางแผนจัดสรรให้ภาคการเกษตรก่อนภาคพลังงาน เนื่องจากภาคการเกษตรไม่มีเทคโนโลยีในการลดคาร์บอนมากนัก  นอกจากนั้น การผลักดัน Green Financing taxonomy ที่ปัจจุบันมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นเจ้าภาพอยู่ จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการลดคาร์บอนได้ 

ด้าน คุณสฤณี อาชวานันทกุล ได้แสดงความคิดเห็นต่อ คาร์บอนเครดิต ว่าการเดินหน้าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีความคืบหน้าที่ดี แต่แนวทางหลักควรจะเป็นการปรับลดคาร์บอนโดยตรงให้ได้ ส่วนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกเสริม และต้องระมัดระวังไม่ใหการซื้อขายคาร์บอนเครดิตกลายเป็นเพียง Green washing 

คุณสฤณี มองว่าประเทศไทยควรเน้นนโยบายด้านการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหลัก เนื่องจากสัดส่วนการปล่อยคาร์บอนของประเทศไทย ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสิ่งที่น่ากังวลคือ ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศ ที่มีความเปราะบางต่อผลกระทบจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงติด 1 ใน 10 ของโลก  จึงควรเน้นวางนโยบายเพื่อการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสีย ความเสียหายต่อประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม  

นอกจากนี้ ภาครัฐต้องส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (just transition) ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการพลังงาน หนุนการผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์ ให้ประชาชนได้เป็นทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตไฟฟ้า (Prosumer) เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและราคาที่เป็นธรรม

ด้าน ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ ได้แสดงความเห็นต่อแผน PDP 2022 ที่ควรต้องมีการแก้ไขเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในอีก 15 ปีข้างหน้า และแสดงความกังวลต่อสัดส่วนการใช้พลังงานฟอสซิลที่ยังสูงถึง 57 เปอร์เซ็นต์  โดยเสนอให้มีการจำกัดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจนโดยเร็ว และสำหรับภาคขนส่งควรมีนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบมีและไม่มีเงื่อนไขการผลิตอีวีในประเทศ เพื่อเร่งให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมทั้งเร่งสร้างทางรถไฟรางคู่ เพื่อทดแทนการขนส่งด้วยรถบรรทุกทางถนน 

นอกจากนี้ ศ.ดร. พรายพล แสดงความเห็นด้วยกับ ข้อเสนอนโยบายส่งเสริม prosumer เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยรัฐบาลควรทำอย่างจริงจังและทำอย่างต่อเนื่อง รัฐควรรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่ราคาเหมาะสม ซึ่งราคารับซื้อปัจจุบันที่ 2 บาทกว่าถือว่าต่ำเกินไป

ในช่วงสุดท้ายของการเสวนา ตัวแทนทุกภาคส่วนได้ฝากทิ้งท้ายถึงข้อเสนอต่อ สผ.และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน ที่จะเป็นตัวแทนไทยเข้าร่วมประชุม COP27 โดย ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ เห็นว่า ประเทศไทยไม่ควรขยับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net zero ให้เร็วขึ้นหรือช้าลงกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำคือควรให้คำมั่นในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ นั่นคือ คำมั่นต่อการยกเลิกการใช้ถ่านหิน และการให้ความชัดเจนต่อการขยับเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่สูงขึ้น 

เช่นเดียวกับ คุณอาทิตย์ เวชกิจ ที่มองว่าประเทศไทยควรแก้ไขแผน PDP และลดการใช้ฟอสซิลลงอีก และสัดส่วนพลังงานสะอาดควรไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรื่องนี้กระทบหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ ความพยายามส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะหากการผลิตไฟฟ้ายังไม่สะอาด นโยบายส่งเสริมใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อช่วยลดคาร์บอนก็จะสูญเปล่า  นอกจากนี้รัฐบาลต้องชัดเจนต่อการสนับสนุน Prosumer ในการผลิตไฟฟ้า เพราะปัจจุบันภาครัฐเน้นการกำกับแบบคุมกำเนิดมากกว่าส่งเสริม

ด้าน คุณสฤณี อาชวานันทกุล มองว่า เวที COP27 ประเทศไทยควรแสดงจุดยืนต่อประชาคมในด้านความเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ปล่อยคาร์บอนมากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศไทยจึงควรร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบาง ต่อรอง เจรจาการให้ความสนับสนุนจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว  

ก่อนจบการเสวนา คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทรในฐานะตัวแทนภาครัฐที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุม COP27 ระบุว่า ตนขอรับข้อเสนอแนะจากการเสวนาในครั้งนี้ ไปเพิ่มเติมปรับปรุงให้การจัดทำนโยบายและการดำเนินงานบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยแจ้งว่าการเข้าร่วมของไทยในปีนี้ นอกจากจะไปรายงานว่าประเทศไทยมีความคืบหน้าในการไปสู่เป้าดังกล่าวอย่างไรแล้ว  ยังมีความตั้งใจไปแสวงหาความร่วมมือกับนานาประเทศและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับภาษีคาร์บอน กลไกทางการเงิน เพื่อนำมาปรับปรุง ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ….. เพื่อหนุนให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์สูงสุด

รัชมงานเสวนาย้อนหลังที่นี่


นักวิจัย

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด