กระแสลมเศรษฐกิจไทยปี 66 ในโลกที่ไม่แน่นอน

หากเปรียบเศรษฐกิจไทยเป็นดังเรือที่เพิ่งผ่านมรสุมใหญ่ คือ การระบาดของโควิด-19 มาอย่างยากลำบาก แม้เรือลำนี้จะเริ่มเดินหน้าได้ในปี 2565 แต่ก็ต้องเผชิญกับทั้งแรงลมต้าน (headwind) และแรงลมหนุน (tailwind) จำนวนมากจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ในปี 2566

หลังจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการควบคุมการเดินทาง ท่องเที่ยว เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ตั้งแต่ต้นปี 2565 แม้เผชิญกับปัญหาของแพง แต่เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ 3.2% ในปี 2565

ทีดีอาร์ไอคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3.5% ในปี 2566 ซึ่งได้รับ “แรงลมหนุน” จากการฟื้นตัวของการบริโภคครัวเรือนและรายได้จากการ ท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ คาดว่าจะเริ่มกลับมาในครึ่งปีหลังของ ปี 2566 อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนภาคเอกชนและการย้ายฐานการผลิตออกมาจากประเทศจีน

แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทย ปี 2566 จะเผชิญกับ “แรงลมต้าน”จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในโลก

แรงลมต้านนอกประเทศที่สำคัญคือ เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง และอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศในปี 2566 ซึ่งเป็นผลพวงมาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อโดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย

โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เกิดจากความพยายามลดเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2565 และมีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มต่อไปอีกในปี 2566 ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอาจจะมากกว่า 5% ณ สิ้นปี 2566

ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนผ่านราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติ ที่แม้ว่าจะผ่านจุดสูงสุด ไปแล้วแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง และจะเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปในปี 2566

นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกจะยังคงกดดันต่อต้นทุนการผลิตสินค้าโลก เนื่องจากการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในตลาดพลังงานและเซมิคอนดักเตอร์

สำหรับตลาดพลังงานแม้ว่าราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากอุปทานที่ตึงตัว และหากรัสเซียหรือยูเครนยกระดับการตอบโต้ในสงครามก็อาจกดดันให้ราคาพลังงานสูงขึ้นอีกครั้ง

ส่วนการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ คาดว่าจะยังคงขาดแคลนอีกอย่างน้อย 2 ปีจนกว่าบริษัทผลิตชิปที่ย้ายออกมาจากจีนจะสามารถสร้างโรงงานแล้วเสร็จ และเริ่มดำเนินการผลิตทดแทนชิปจากจีนได้

เหล่านี้จะกลายเป็นแรงลมต้านจากภายนอกประเทศที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ในฐานะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและยังเป็นผู้นำเข้าพลังงานและวัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับแรงลมต้านในประเทศที่สำคัญ คือ ราคาสินค้าและอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2566 ตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2566 อยู่ที่ 2.5%

นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังได้เริ่มผลักภาระต้นทุนทั้งค่าพลังงานและค่าแรงไปยังผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคา หลังจากก่อนหน้านี้ทำได้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากกำลังซื้อที่หายไปเพราะการระบาดของโควิด-19 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ

ทีดีอาร์ไอคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 2% ในสิ้นปี 2566 ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นราว 0.45% โดยเฉลี่ย

อย่างไรก็ดี การเปิดประเทศของจีนจะกลายเป็นแรงลมหนุนที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองของไทยรองจากสหรัฐ และเป็นแหล่งรายได้หลักของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศจีนที่ต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย และยังจำกัดการเดินระหว่างประเทศของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ดังนั้น การผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เป็นความหวังสำหรับภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดเป็นวงกว้างในจีน จะส่งผลต่อการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวในจีน

นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองในประเทศจีนและความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้บริษัทต่างชาติในประเทศจีนจำนวนมากต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยส่วนหนึ่งย้ายมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนามและประเทศไทย ซึ่งอุตสาหกรรมที่ย้ายมาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมากอยู่ในภาคเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ตลอดจนเทคโนโลยีสารสนเทศและศูนย์ข้อมูล (data center)

ดังนั้น ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น และกลายเป็นแรงลมหนุนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย

เพราะฉะนั้นปี 2566 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจำนวนมาก ทั้งความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่อาจคาดเดาจนเป็นความเสี่ยงต่อราคาพลังงาน ความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก แม้การเปิดเศรษฐกิจของจีนจะเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยแต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนหากอัตราการเสียชีวิต จากโควิด-19 ในจีนเพิ่มขึ้น

เหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญสำหรับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลในปี 2566 เพื่อแล่นผ่านแรงลมต้านที่เป็นความท้าทายและใช้ประโยชน์จากแรงลมหนุนให้เรือที่ชื่อว่าประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

บทความ โดย กิริฎา เภาพิจิตร และ กิตติพัฒน์ บัวอุบล

เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 29 ธันวาคม 2565


ผลงานล่าสุดจากทีดีอาร์ไอ