ปิดช่องโหว่ ก.ม.วินัยการคลัง ใช้งบก่อนเลือกตั้งรัดกุม

ในช่วงการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พรรคการเมืองต่างๆ ได้ทยอยนำเสนอนโยบายให้กับประชาชน ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า นโยบายดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นประชานิยมที่ มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองชั่วคราว และกระทบต่อวินัยทางการคลังของประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องการใช้งบประมาณ หลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว

แต่นอกเหนือจากการใช้งบหลังจากการเป็นรัฐบาลแล้ว ประเด็นความใส่ใจต่อวินัยทางการคลังในช่วงการเลือกตั้งก็เป็นสิ่งไม่ควร จะละเลยอย่างยิ่ง แม้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 จะกำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด และไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้าง ความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ครอบคลุมเรื่องการใช้จ่าย งบประมาณของรัฐในเรื่องการเก็บ การใช้จ่าย การก่อหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ยังมีช่องโหว่ในการใช้งบประมาณที่ยังไม่รัดกุม โดยเฉพาะในสถานการณ์การเลือกตั้ง รัฐบาลที่กำลังจะหมดวาระอาจจะมีการตัดสินใจใช้จ่ายเงินเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่ได้พิจารณาถึงความโปร่งใส ความรอบคอบ และผลกระทบต่อวินัยทางการคลัง

การตัดสินใจใช้จ่ายเงินเพื่อมุ่งผลประโยชน์ทางการเมืองนั้น อาจปรากฏในลักษณะของการเพิ่มงบประมาณด้านบุคคลก่อนการ พ้นวาระการดำรงตำแหน่งของ ครม. หรือวาระของสภา เช่น เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนการยุบสภา ครม.เห็นชอบขึ้นค่าตอบแทนผู้บริหารและสมาชิก อบต. 5,300 แห่ง โดยประมาณการค่าใช้จ่าย 13,774.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากค่าตอบแทนปัจจุบัน 4,252 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.66

ในวันเดียวกัน ครม.ยังมีมติให้ปรับอัตราเงินตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลและตำแหน่งอื่นๆ โดยกำนันปรับเพิ่มจาก 10,000 บาทเป็น 12,000 บาท ผู้ใหญ่บ้านจาก 8,000 บาท เป็น 10,000 บาท แพทย์ประจำตำบลปรับเพิ่มจาก 6,000 บาท เป็น 7,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น นอกเหนือจากการเพิ่มค่าตอบแทน ดังกล่าวแล้ว ก่อนหน้านี้ในวันที่ 7 มี.ค. ครม.ได้ปรับเพิ่มค่าป่วยการ อสม.เป็น 2,000 บาท ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่า ครม.ของรัฐบาลในสมัยที่แล้วก็ตัดสินใจเพิ่มค่าป่วยการให้ อสม.จาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท ก่อนจะมีการเลือกตั้งเช่นกัน

นอกจากการเพิ่มผลประโยชน์ในด้านบุคคลก่อนการพ้นวาระการดำรงตำแหน่งของ ครม. หรือวาระของสภาแล้ว ตัวอย่างอีกลักษณะหนึ่งคือ การอนุมัติโครงการโดยใช้มาตรการกึ่งการคลังอนุมัติงบประมาณให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินดำเนินโครงการให้รัฐบาลไปก่อน แล้วจึงจ่ายเงินคืนให้กับสถาบันการเงินผ่านงบประมาณแผ่นดิน

ที่ผ่านมาไม่นาน ครม.เพิ่งได้อนุมัติโครงการโคล้านครอบครัวที่ให้ ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นระยะเวลา 4 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนที่เข้าร่วมโครงการสามารถกู้ยืมเงินทุนสำหรับเลี้ยงโคครอบครัวละ 2 ตัว โดยรัฐบาลจะจ่ายงบประมาณคืนกลับมาให้ ธ.ก.ส.

แม้ทั้งหมดนี้รัฐบาลที่กำลังจะพ้นวาระอาจจะมีเจตนาที่ดี แต่ทั้งหมดก็เป็นการดำเนินนโยบายที่ผูกพันกับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ ที่ควรจะต้องมีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่าย หรืออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่าย งบประมาณดังกล่าว ซึ่งในบริบทของประเทศไทย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่ควรจะมีกระบวนการเฉพาะในการหยิบยกประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวมาตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ การแข่งขันในเวทีการหาเสียงมีความเป็นธรรม และไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบระหว่างพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคการเมืองขนาดเล็ก

เมื่อเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติที่ดีในต่างประเทศจะพบว่า ในต่างประเทศนั้นให้ความสำคัญกับการควบคุมการใช้จ่าย งบประมาณของรัฐบาลในช่วงก่อน การเลือกตั้ง เพื่อเป้าหมายในการรักษา วินัยทางการคลัง และสร้างความเป็นธรรม ในการแข่งขันกันอย่างเสมอภาคในการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น ประเทศออสเตรเลียกำหนดให้เมื่อมีการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ จะต้องมีการจัดทำรายงาน ประมาณการเศรษฐกิจและการคลังเพื่อเผยแพร่ภายใน 10 วัน เพื่อให้ข้อมูลรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจและการคลังก่อนเลือกตั้ง โดยข้อมูลครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ สมมติฐานต่างๆ ที่ใช้  รายละเอียดของภาระผูกพันทางการคลัง และยอดหนี้สาธารณะ

มาตรการเหล่านี้เน้นการให้ความสำคัญ กับการทำให้สังคมตระหนัก และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือในประเทศบราซิลมีการกำหนดความผิดอาชญากรรมทางการคลัง ต่อการดำเนินงาน เพิ่มค่าใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรในปีสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง หรืออายุสภา

ในบริบทของประเทศไทยตัวอย่างของประเทศออสเตรเลียอาจมีความน่าสนใจมากกว่าตัวอย่างของประเทศบราซิล เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในช่วงการเลือกตั้ง และช่วยส่งเสริมกระบวนการทางประชาธิปไตยจากการทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล สาธารณะ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการลงโทษทางอาญาที่มีกระบวนการพิจารณาที่ซับซ้อน และอาจจะมีประเด็นในเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐาน

อย่างไรก็ดี ความน่ากังวลของประเทศไทยคือ การไม่มีสถาบันของภาครัฐที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ผลกระทบทางการคลังที่เข้มแข็งแบบสำนักงบประมาณของรัฐสภาแบบสหรัฐ ในขณะเดียวกันองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญในปัจจุบันก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงความโปร่งใสจากสังคม การจะกำหนดหน้าที่ให้กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้ก็อาจจะไม่เหมาะสมในเวลานี้

ในเวลานี้ทางออกของสังคมจึงต้องพึ่งกำลังของภาคประชาสังคมและเครือข่ายทางวิชาการ ช่วยกันทำหน้าที่ติดตามและวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการใช้งบประมาณ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งที่ควรพัฒนาสำนักงบประมาณของรัฐสภาให้เข้มแข็ง เพื่อปิดช่องโหว่ในการใช้งบประมาณที่ยังไม่รัดกุมพอ ลดผลกระทบต่อวินัยทางการคลังประเทศ

บทความโดย เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 20 เมษายน 2566


ผลงานล่าสุดจากทีดีอาร์ไอ