10 เท่าตัวคือจำนวนการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการที่เพิ่มขึ้น ตัวเลขดังกล่าวมาจากผลการประเมินสถานการณ์การใช้กัญชาในประเทศไทยของงานวิจัยบางชิ้น
ซึ่งพบว่าหลังจากที่รัฐบาลปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดกลางปี 2565 มีการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับผลที่ได้จากแผนงานวิจัยของผู้เขียน
การใช้ที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากกฎหมายและข้อบังคับที่ไม่ชัดเจนทำให้การบังคับใช้หละหลวมและความสับสนจากคำว่า “กัญชาเสรี” ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ได้เสรีอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ นอกจากนั้นการใช้แบบเทาๆที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเพื่อการแพทย์หรือเพื่อนันทนาการก็มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน การใช้ในกลุ่มนี้คือการนำมาต้มดื่มหรือปรุงอาหาร ขณะที่การใช้เพื่อการแพทย์ซึ่งรวมแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยด้วยนั้นยังเป็นการใช้เพื่อ “บรรเทา” อาการและไม่ใช่เป็นตัวเลือกแรกในหลายๆกรณีเป็นทางเลือกท้ายๆ
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกัญชาที่บางคนเรียกว่า “ยา” เช่น น้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องนี้มีออกมาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ (ไม่นับรวม ขนมหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ซึ่งจัดว่าเป็นการใช้เพื่อนันทนาการ) สิ่งที่น่ากังวลคือมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอยู่เป็นจำนวนมากและในบางกรณีเสี่ยงต่อการนำไปใช้เพื่อนันทนาการ
สำหรับประเด็นด้านเศรษฐกิจที่หลายคนมองว่าจะเป็นประโยชน์นั้น ผลกลับไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดหวัง เพราะหลังจากที่รัฐบาลปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ทำให้ปริมาณกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ดำเนินการตามกฎระเบียบมาตั้งแต่ปี 2562 ประสบกับปัญหาขาดทุนจากการที่มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น และเป็นพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการ (จากความเข้าใจผิดเรื่องกัญชาเสรี) ขณะที่ผลจากการท่องเที่ยวก็ยังไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ออกมาอย่างชัดเจน
โดยรวมแล้วการพิจารณาผลกระทบภายใต้แผนงานวิจัยของผู้เขียนนี้ คณะผู้วิจัยพิจารณาทั้งผลเชิงบวกและผลเชิงลบ ผลเชิงบวกนั้นอาจเกิดขึ้นจากการใช้เพื่อการแพทย์ (รวมแพทย์ทางเลือก) และผลทางเศรษฐกิจ ขณะที่ผลเชิงลบนั้นเกิดจากการใช้เพื่อนันทนาการ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งในต่างประเทศที่ปลดกัญชาออกจากยาเสพติดให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยควรต้องพิจารณาคือการเพิ่มหรือสนับสนุนผลเชิงบวกและลดหรือขจัดผลเชิงลบ ซึ่งเครื่องมือสำคัญในการจัดการเรื่องนี้คือ “การบังคับใช้” กฎหมาย (จริงอยู่ว่ากฎหมายนั้นเป็นส่วนสำคัญ แต่การบังคับใช้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวกฎหมาย) ทั้งนี้คณะผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้
1.กรณีปัญหาความคลุมเครือที่มาจากกฎระเบียบที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภานั้น ควรกำหนดนิยามและกิจกรรมในการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์และเพื่อนันทนาการให้ชัดเจน เพื่อขจัดความคลุมเครือเกี่ยวกับกิจกรรมที่อาจสร้างความเข้าใจผิด หรือเสี่ยงต่อการฉวยประโยชน์จากความคลุมเครือ
2.รัฐบาลควรสำรวจและประเมินผลภายหลังจากที่มีการบังคับใช้พ.ร.บ. กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ…. ไปแล้ว 3 ปี โดยหน่วยงานเชิงวิชาการและไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นต้น (ตัวอย่างของประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการและดำเนินการในเรื่องนี้คือ แคนาดา)
3.รัฐบาลควรติดตามและประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายด้านกัญชาโดยเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคมที่เกิดขึ้นตามมาด้วย
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานวิจัยเรื่อง “แผนงานวิจัยการประเมินสถานการณ์และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม จากกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” สนับสนุนโดยคณะกรรมการกำกับทิศทางการวิจัยประเด็นปัญหาวิกฤติสำคัญของประเทศ (National Crisis Management) เรื่องกัญชา สกสว. และ วช.
ภายใต้แผนงานวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยยังมีข้อเสนอแนะในรายละเอียดด้านต่างๆ ซึ่งจะได้นำเสนอเป็นระยะๆ ในลำดับถัดไป
บทความโดย : ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยที่ปรึกษารับเชิญ ทีดีอาร์ไอ
เผยแพร่ครั้งแรก : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 1 พ.ค. 2567
บทความที่เกี่ยวข้อง