ทีดีอาร์ไอจัดสัมมนา “PDP 2024 เร่ง หรือ รั้งพาไทยไปสู่เป้าพลังงานสะอาด” ชำแหละร่างแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับใหม่ นักวิชาการ ชี้ เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดมากขึ้นถือเป็นความก้าวหน้า แต่ต้องเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจและความสามารถการแข่งขัน เสียดายไร้โซลาร์ภาคปชช.-เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีในแผน ห่วง คาดการณ์ความต้องการไฟเกินจริงถูกใช้เป็นเหตุอ้างสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่ม -นำเข้า LNGมากขึ้น-สร้างเทอมินัลใหม่ กระทบราคาค่าไฟ สุดท้ายประชาชนเสี่ยงแบกรับค่าไฟแพง
วันที่ 19 ก.ค. 2567 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนา “PDP 2024 เร่ง หรือ รั้ง พาไทยสู่เป้าพลังงานสะอาด” ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กทม.
ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน ทีดีอาร์ไอ นำเสนอบทวิเคราะห์ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) ที่อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชน ว่า ร่างแผน PDP 2024 มีสิ่งที่แตกต่างจากฉบับ 2018 ทั้งประเด็นที่ก้าวหน้าจากฉบับเดิม และประเด็นที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของประเทศ ในส่วนประเด็นที่เป็นบวก พบว่าภาครัฐได้เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดมากขึ้น จากเดิมเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาดอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ เป็น 51 เปอร์เซ็นต์ภายในปีค.ศ. 2037
ดร.อารีพร ระบุว่า แม้จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่จะดีกว่านี้ได้ โดยผลักดันให้มีการดำเนินการที่รวดเร็วกว่าระยะเวลาที่วางเอาไว้ เนื่องจากระหว่างการไปสู่ปี 2037 มีหลายภาคส่วนต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่เร็วกว่านี้ค่อนข้างมาก เช่น ในปี 2026 เป็นปีที่เริ่มบังคับใช้มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ซึ่งมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม และภาคส่งออก ขณะที่ภาคการผลิตขององค์กรเอกชน เช่นกลุ่ม RE100 มีความต้องการพลังสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ ในการผลิตสินค้าภายในปี 2030 ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยขณะนี้เริ่มเห็นภาพแล้วว่าอุตสาหกรรมบางแห่งแบ่งฐานการผลิตบางส่วนจากที่เคยอยู่ในไทยเพียงที่เดียวไปยังเวียดนามด้วย เพราะเวียดนามมีไฟฟ้าพลังงานสะอาดมากกว่าไทยมาก ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมอย่าง Data Center ก็เกิดความลังเลในการลงทุน เนื่องจากเงื่อนไขสำคัญคือประเทศไทยต้องสามารถจัดสรรไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ให้กับบริษัทเหล่านี้ได้
“ถ้าเราไม่ใช้พลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้า แล้วมีการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตเกินมาตรฐานที่กำหนดจากยุโรป ก็ต้องเสียภาษีตามมาตรการ CBAM ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าเราอาจจะต้องลดมูลค่าการส่งออกลง เพราะสินค้าไม่สามารถแข่งขันในเรื่องของราคาได้ โดยตัวอย่างมูลค่าการส่งออกของไทยปี 2564 หากลดไปเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 4 ล้านล้านบาทในปี 2564 จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ 4 แสนล้านบาทเลยทีเดียว”
คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินจริง จ่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่ม 8 แห่ง
ดร.อารีพร ยังระบุด้วยว่า การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในร่างแผน PDP 2024 พบว่าตัวเลขที่นำมาใช้คาดการณ์ไม่อัพเดท เช่น ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศใช้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้การคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้านั้นน่าจะสูงเกินจริง ขณะเดียวกันยังพบว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 8 แห่ง กำลังการผลิตรวมกันถึง 6,300 เมกะวัตต์ แต่ในขณะที่ปัจจุบันไทยมีโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยประมาณครึ่งหนึ่งจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหมด
“เนื่องจากว่ามีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริงกว่าความต้องการใช้จริง ส่งผลให้16 ปีที่ผ่านมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตต้องเสียค่าความพร้อมจ่ายประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งค่าความพร้อมจ่ายนี้สุดท้ายจะถูกส่งผ่านมายังประชาชนในรูปของค่าไฟ”
ห่วงแผนนำเข้า LNG สูงขึ้น – สร้างเทอมินัลใหม่ กระทบต้นทุนค่าไฟแพงขึ้น
ดร.อารีพร ระบุว่า ในแผนมีการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว)สูงขึ้น เพราะจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมและจากการที่อ่าวไทยมีการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ซึ่งราคาของ LNG มีความผันผวนตามตลาดโลก ดังนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ และประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ราคา LNG จะสูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้สูงขึ้นตาม นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการสร้าง LNG เทอมินัลเพิ่มเติมด้วย โดยต้นทุนดังกล่าวถ้าไม่มีการจัดสรรที่ดี ก็จะถูกส่งผ่านมาในรูปของค่าไฟเช่นกัน
“ในขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะรับซื้อไฟฟ้าพลังงานน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำปัจจุบันกำลังจะหมดอายุสัญญา ราคาที่รับซื้ออยู่ตอนนี้ค่อนข้างถูก คำถามคือทำไมไม่ต่อสัญญาเดิม แต่ไปสนับสนุนให้สร้างเขื่อนใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งเป็นการทำลายระบบนิเวศใหม่ และราคารับซื้อแพงขึ้น 20 สตางค์ต่อกิโลวัตต์”
สำหรับประเด็นการปรับหลักเกณฑ์โอกาสการเกิดไฟดับ (LOLE) 0.7 วันต่อปีในแผน PDP ฉบับใหม่ ที่นำมาใช้แทนปริมาณไฟฟ้าสำรองนั้น เห็นว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำเกินไป เนื่องจากในร่างแผน PDP 2024 มีการคำนวนเกณฑ์โอกาสการเกิดไฟดับตลอดแผนที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว โดยโอกาสการเกิดไฟดับที่สูงที่สุดอยู่ที่ปี 2032 ที่ 0.68 วันต่อปี จึงไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดเกณฑ์โอกาสการเกิดไฟดับทั้งแผนที่ 0.7 วันต่อปี เพราะจะทำให้เกิดการสำรองไฟฟ้าเพิ่ม กระทบต่อค่าไฟในท้ายที่สุด
ประเมินประสิทธิภาพ Energy Technology ต่ำเกินไป
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่าไฟ โดยดร.อารีพร ระบุว่า ร่างแผน PDP 2024 ฉบันนี้ สามารถทำให้ค่าไฟลดลงกว่านี้ได้อีก หากมีการใช้ไฟฟ้าพลังสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดร่วมกับแบตเตอรี่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตถูกลงอย่างชัดเจน นอกจากนั้นมีการจำกัดเป้าหมาย Smart Microgrid (ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดเล็ก) และ Demand Response (การตอบสนองต่อมาตรการเพิ่มศักยภาพในการใช้ไฟ) ที่ต่ำเกินไป ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายไฟฟ้า และช่วยเสริมเสถียรภาพการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด แต่ในขณะเดียวกันมีความพยายามในการนำเทคโนโลยี เช่น ไฮโดรเจน และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก มาใช้ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้นแต่คาดว่าภาครัฐอาจจะยังไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนต่อราคาค่าไฟที่เสี่ยงจะสูงขึ้นหากมีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงผลกระทบในเรื่องความกังวลของประชาชนต่อพลังงานการใช้นิวเคลียร์ด้วย
ยึดติดกับระบบผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer)
ดร.อารีพร ระบุว่า การที่ร่างแผน PDP2024 ยึดติดกับระบบ Enhanced Single Buyer (รัฐเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนไม่สามารถขายไฟฟ้าตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าได้) ทำให้โครงการโซล่าร์ภาคประชาชน ไม่มีในร่างแผน PDP ทั้งที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้เป็นอย่างมาก มีเพียงการระบุเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จะอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ได้ระบุไว้ว่า 17 เปอร์เซ็นต์นี้จะมาจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชนกี่เปอร์เซ็นต์ ทำให้แผนนี้ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่อง Net Metering หรือ การปรับราคารับซื้อไฟฟ้าต่อหน่วยที่ 2.20 บาทให้สูงขึ้น รวมทั้งไม่มีการระบุถึงการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีด้วยพลังงานสะอาด และการให้เอกชนสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง โดยการเปิดสิทธิให้เอกชน สามารถเชื่อมต่อระบบสายส่งไฟฟ้าของภาครัฐ (Third Party Access หรือ TPA) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเร่งการเพิ่มไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้ประเทศไทย และทำให้ราคาค่าไฟเป็นไปตามกลไกตลาดที่เป็นที่รับได้ของผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ผลิตไฟฟ้า
ส่วนบทบาทการผลิตไฟฟ้านั้น ร่างแผน PDP 2024 ไม่ได้แยกบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างชัดเจนว่าสัดส่วนการผลิตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก(SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวนเท่าใด ซึ่งการแยกบทบาทชัดเจนจะทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถวางแผนในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ย้ำ ร่างPDP 2024 รั้ง ไทยสู่เป้าพลังงานสะอาด
“โดยสรุปจะเห็นว่าภาพรวมของร่างแผน PDP 2024 เป็นตัวรั้ง มากกว่าช่วยเร่งให้ไทยรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจและความสามารถทางการแข่งขันรวมถึงการบรรลุเป้าพลังงานสะอาดเพื่อไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเน็ตซีโร่ได้ โดยยังมีหลายประเด็นที่สามารถปรับเพื่อให้เกิดการเร่งไปสู่พลังงานสะอาดได้มากกว่านี้ จึงอยากให้ภาครัฐนำข้อเสนอเหล่านี้ไปพิจารณาว่ามีประเด็นไหนที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งคาดว่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากขึ้น” ดร.อารีพรระบุ
นอกจากนี้ยังมีการจัดเวทีเสวนา “PDP2024 ปรับอย่างไร เร่งไทยสู่เป้าพลังงานสะอาด” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ประกอบด้วย นายดอน ทยาทาน อุปนายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ บ.ป่าสาละ จำกัด ดำเนินการเสวนาโดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ
เอกสารประกอบการเสวนา และข้อเสนอแนะฉบับเต็ม
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบ PDP2024 ‘เร่ง’ หรือ ‘รั้ง’ พาไทยสู่เป้าพลังงานสะอาด