ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในทุกอุตสาหกรรมจนถูกมองเป็นความเสี่ยงว่า ตลาดแรงงานจะถูก “Disruption” เพราะเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน
การที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ทางรอดของแรงงานคือ “อัปสกิล” (Upskilling) และ “รีสกิล” (Reskilling) เพื่อไม่ให้ตกหล่นไปจากกระแสในโลกของการทำงานยุคใหม่
ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของภาคแรงงาน แต่ทว่ายังมีกฎระเบียบบางส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่บางส่วน
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 กำหนดทางเลือกให้บริษัทที่มีลูกจ้างมากกว่า 100 คน เลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งเพื่อส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ระหว่างการจัดอบรมให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า 50% ของลูกจ้างทั้งหมด ซึ่งลูกจ้างจะต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือ ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
ที่ผ่านมามีบริษัทจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะจัดอบรมให้แก่ลูกจ้างเพื่อส่งเสริมความรู้ให้กับพนักงาน โดยเฉพาะธุรกิจตลาดทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้เท่าทันเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน และรูปแบบการลงทุน จึงมีการอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และใช้การอบรมแบบ E-Learning เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการทำงาน Work from Anywhere ในยุคปัจจุบัน
แต่ด้วยกฎระเบียบในปัจจุบัน ทำให้หลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรการอบรมของสถาบันฝึกอบรมสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ATI) ไม่ผ่านการอนุมัติจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อีกทั้งการพิจารณาอนุมัติที่ใช้เวลานานถึง 3 เดือน ทำให้บริษัทไม่สามารถอบรมพนักงานได้ตามแผนที่วางไว้ และต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานแทน
โดยจากการศึกษาพบว่า เงื่อนไขการอนุมัติหลักสูตรฝึกอบรมปัจจุบันมีปมปัญหา 4 ประการ ดังนี้
การจำกัดรูปแบบการฝึกอบรม เงื่อนไขปัจจุบันจำกัดเฉพาะการเรียนแบบ On-site หรือการฝึกอบรมแบบทางไกล โดยลูกจ้างต้องเข้าเรียนกับวิทยากรผ่านการถ่ายทอดสดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขนี้อาจจำกัดโอกาสในการอบรมในรูปแบบอื่น ๆ ที่สะดวกกับลูกจ้างในการจัดสรรเวลาการเข้าอบรมมากกว่า เช่น E-Learning
การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำสำหรับหลักสูตรฝึกอบรม ตามเงื่อนไขปัจจุบันหลักสูตรอบรมจะต้องมีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ในขณะที่หลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรของสถาบัน ATI มีการแยกย่อยหลักสูตร ทำให้บางหลักสูตรใช้เวลาอบรมน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเพื่อช่วยให้ลูกจ้างสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้น เงื่อนไขนี้ส่งผลให้ลูกจ้างไม่สามารถรวมเวลาอบรมในหลักสูตรที่ใช้เวลาน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเพื่อนับเป็นชั่วโมงฝึกอบรมที่สอดคล้องกับเงื่อนไขเวลาขั้นต่ำได้
หลักสูตรที่ลูกจ้างเลือกเข้าร่วมฝึกอบรม ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสายอาชีพที่ลูกจ้างทำอยู่ เงื่อนไขนี้อาจตัดโอกาสให้ลูกจ้างสามารถ Upskilling หรือ Reskilling เพื่อเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์การทำงานในสายอาชีพได้ โดยเฉพาะ Soft Skills ซึ่งเป็นทักษะที่บริษัทส่วนมากกำลังให้ความสำคัญเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติหลักสูตรปัจจุบันยังเน้นการพิจารณาจากเอกสารที่บริษัทขออนุมัติกับทางกรม โดยไม่มีหลักประกันว่าหลักสูตรดังกล่าวจะได้รับมีคุณภาพอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การลงพื้นที่ตรวจสอบก็สร้างภาระให้กับเจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดสิ้นเปลืองบุคลากร ทรัพยากร และเวลาในการทำงานของเจ้าหน้าที่
เมื่อพิจารณาแนวปฏิบัติที่ดีในต่างประเทศ พบว่าในหลายประเทศ แม้จะมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานคล้ายกับในประเทศไทย แต่ใช้วิธีดูแลคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรมที่แตกต่าง เช่น ในประเทศสิงคโปร์ การดูแลคุณภาพของหลักสูตรการฝึกอบรมแรงงานจะดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐที่ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานโดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการอนุมัติหลักสูตรแบบแยกต่างหาก
ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ใช้ระบบสนับสนุนให้ลูกจ้างเข้ารับการฝึกอบรมในหน่วยงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรวิชาชีพ ซึ่งช่วยรับรองว่าหลักสูตรและผู้ให้การฝึกอบรมมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
จากบทเรียนข้างต้น การแก้ไขปัญหาให้ตอบโจทย์โดยลดภาระผู้ประกอบการ และทำให้ลูกจ้างได้รับการเสริมสร้างความรู้และทักษะอย่างมีประสิทธิภาพนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อาจพิจารณาปรับเงื่อนไขการตรวจสอบคุณภาพ หลักสูตรฝึกอบรม แทนวิธีการอนุมัติหลักสูตรแบบเดิม ดังนี้
ประการแรก ปรับเปลี่ยนจากการขออนุมัติหลักสูตรมาเป็นการรายงานแทน โดยให้บริษัทรายงานหลักสูตรที่จะจัดอบรมให้ลูกจ้างไปยังกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมกับส่งเอกสารตามที่กำหนดไว้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เช่น หลักฐานการประเมินศักยภาพของลูกจ้าง หลักฐานการเข้าอบรมรายละเอียดเนื้อหาหลักสูตร เป็นต้น เพื่อให้กรมสามารถตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรได้
ทั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานอาจยกเว้นการรายงานหลักสูตร สำหรับสาขาอาชีพที่มีหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพเฉพาะด้านกำกับดูแลอยู่แล้ว หรือหลักสูตรที่ฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานรัฐหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจากรัฐ
การยกเว้นดังกล่าวจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการตรวจสอบ และรับรองคุณภาพ โดยเฉพาะวิชาชีพที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งรวมถึงงานด้านตลาดทุน ตัวอย่างเช่น หลักสูตรการอบรมการต่ออายุใบอนุญาตบุคคลากรที่ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต. หรือหลักสูตรสำหรับการขอรับหรือต่อใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยที่ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงาน คปภ.
ประการที่สอง ปรับปรุงรูปแบบเงื่อนไขการจัดฝึกอบรม โดยให้ลูกจ้างสามารถสะสมชั่วโมงการฝึกอบรมจากหลายหลักสูตรได้ และยกเลิกการจำกัดรูปแบบการอบรมเพื่อเปิดโอกาสให้ใช้วิธีการฝึกอบรมได้ทุกวิธี
การปรับเงื่อนไขนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในระบบการฝึกอบรม ทำให้ลูกจ้างได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะและความรู้ ในหลากหลายด้านมากขึ้น โดยไม่ต้องยึดติดกับหลักสูตรที่มีระยะเวลาอบรมขั้นต่ำหรือรูปแบบการจัดอบมรมตามที่กำหนดไว้ เพื่อเป็นการตอบสนองความคล่องตัวและความหลากหลายในการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การทำงานในปัจจุบัน
การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขทั้งสองจะช่วยส่งเสริมให้แรงงานไทยมีทักษะที่ตอบโจทย์ต่อความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น พร้อมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายที่สร้างต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะของลูกจ้าง และคุณภาพของแรงงานอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
บทความโดย : ปั้นฝัน มโนธรา ชณิสรา ดำคำ นักวิจัยการปฏิรูปกฎหมาย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
เผยแพร่ครั้งแรก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 ธ.ค. 2567