ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ทว่าประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากโครงสร้างพลังงานที่ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และความล่าช้าของนโยบายในภาคพลังงาน
เดิมที แนวคิดสำคัญต่อการพัฒนาระบบพลังงานคือ ความสมดุลด้านพลังงาน หรือที่เรียกว่า Energy Trilemma ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) ความสามารถในการจ่าย (Affordability) และความยั่งยืน (Sustainability)
แต่ปัจจุบันได้มีการนำปัจจัยความพร้อมด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานมาร่วมพิจารณาด้วย ซึ่งจะเน้นในเรื่องความพร้อมของประเทศสู่การมุ่งสู่พลังงานสะอาด เช่น เรื่องความพร้อมด้านทักษะแรงงานที่เกี่ยวกับธุรกิจสีเขียว และการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เป็นต้น
ที่ผ่านมาปัจจัยด้านสมดุลพลังงาน และความพร้อมด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานยังเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งได้สะท้อนในดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition Index) โดยในปี 2024 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 60 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่ครองอันดับที่ 32 มาเลเซีย อันดับที่40 และอินโดนีเซีย อันดับที่54
ความล่าช้านี้สะท้อนถึงสัดส่วนพลังงานสะอาดที่ยังต่ำ และความพร้อมด้านทักษะสีเขียวของแรงงานที่ยังไม่สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน นอกจากนี้ ในด้านความยั่งยืน ประเทศไทยยังตั้งเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2065 ซึ่งล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และลาว ที่ตั้งเป้าหมายไว้ภายในปี 2050
ความล่าช้าดังกล่าวไม่เพียงกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรักษาความสามารถทางการแข่งขัน และมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงส่งผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะภาคแรงงานที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ดังนั้นการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีที่ส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งด้านของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล
ความล่าช้าในการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี: ความเสี่ยงใน 3 มิติสำคัญ
ด้านเศรษฐกิจ จากการภาคอุตสาหกรรมไทยต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดในการรักษาความสามารถทางการแข่งขัน แต่ประเทศไทยมีไฟฟ้าพลังงานในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการความต้องการ ดังนั้นหากไม่มีการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี เพื่อเร่งผลิตพลังงานสะอาดให้กับผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพึ่งพา Utility Green Tariffs (UGT) หรือ อัตราค่าไฟจากพลังงานสะอาด ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าค่าไฟฟ้าปกติ ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
นอกจากนี้ การไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีเพื่อเร่งการผลิตไฟฟ้าสะอาด อาจทำให้ไทยเสี่ยงต่อการเสียเม็ดเงินจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ ซึ่งมีเงื่อนไขในการได้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็นเงื่อนไขสำคัญในการลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทย โดยในช่วงปี 2018-2023 การลงทุนจาก 3 ประเทศนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 9 แสนล้านบาท ซึ่งหากไทยไม่สามารถตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดได้ นักลงทุนเหล่านี้อาจย้ายการลงทุนไปยังประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า เช่น เวียดนาม และท้ายสุดจะทำให้ไทยเสียโอกาสดึงดูดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตที่มีการใช้พลังงานสะอาดเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ
ด้านสังคม ประเทศไทยมีแรงงานที่อยู่ในธุรกิจสีน้ำตาล(ธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกสูง) มากถึง 11 ล้านตำแหน่ง แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการจ้างงานในธุรกิจสีเขียวของไทยกลับเพิ่มขึ้นเพียง 1% แสดงถึงแนวโน้มที่งานสีเขียวจะโตไม่ทันที่จะรองรับแรงงานที่มาจากธุรกิจสีน้ำตาลที่กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ดังนั้นถ้าประเทศไทยไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีให้ภาคธุรกิจเข้ามาเร่งสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงาน จะส่งผลให้การว่างงานสูงขึ้น นอกจากการว่างงานที่สูงขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นด้วย เนื่องจากแรงงานสีเขียวมีรายได้สูงกว่าแรงงานสีน้ำตาลในทุกระดับการศึกษา ดังนั้นการไม่เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีที่จะสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะ Reskill และ Upskill จะยิ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมรุนแรงขึ้น
ด้านสิ่งแวดล้อม การขยายตัวของ Data Center จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นถ้าประเทศไทยไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี เพื่อเร่งการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด แต่ยังประสงค์ที่จะรักษาฐาน Data Center อาจส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตอาจต้องหันไปใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานฟอสซิลแทน ซึ่งไม่ตอบโจทย์เป้าหมายความยั่งยืนของประเทศ
4 ขั้นตอนสู่การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทย

เพื่อให้การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีเกิดขึ้นอย่างมั่นคงและเป็นธรรม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เสนอแผนการดำเนินงานใน 4 ระยะ โดยใน ระยะแรก (2026-2030) ควรเปิดตลาดเสรีสำหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และธุรกิจที่ต้องการพลังงานสะอาด เช่น กลุ่ม RE100 ที่มีความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% ในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2030 และกลุ่มภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 41% ของปริมาณการใช้งานไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อที่ตอบโจทย์เป้าหมายความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดในการรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ จากนั้นใน
ระยะที่สอง (ก่อนปี 2037) ควรขยายการเข้าถึงตลาดไฟฟ้าเสรีสำหรับโรงงานและอาคารควบคุมขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ประกอบการในวิสาหกิจขนาดกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45% เนื่องจากจะเป็นส่วนสำคัญให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายร่างแผน PDP 2024 ที่มีการตั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดไว้ที่ 51%
ระยะที่สาม (ภายในปี 2050) ควรเปิดตลาดครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมกันถึง 65% เนื่องจากจะเป็นส่วนสำคัญให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ที่ต้องมีการผลิตไฟฟ้าพลังงานอย่างต่ำที่ 74% และสุดท้ายใน ระยะที่สี่ (หลังปี 2050) จึงเป็นการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทยแบบสมบูรณ์
การคิดค่าธรรมเนียมสายส่งไฟฟ้า: กุญแจสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี
การคิดค่าธรรมเนียมสายส่งไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญต่อความเป็นธรรมในการเข้าถึงโครงข่ายและประสิทธิภาพของระบบพลังงาน รูปแบบการคิดค่าธรรมเนียมหลัก ได้แก่ Postage Stamp (คิดแบบถัวเฉลี่ย), Power Flow Based (คิดตามการใช้จริงของโครงข่าย) และ Nodal Pricing (คิดตามสภาพตลาดแบบเรียลไทม์) ประเทศไทยควรเริ่มต้นด้วย Postage Stamp ในระยะสั้น ก่อนพัฒนาไปสู่ Power Flow Based และ Nodal Pricing ในระยะยาว เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนด้านบริการเสริมความมั่นคงของระบบ (Ancillary Services) การรักษาสมดุลของพลังงาน (Imbalance) และการสำรองโครงข่ายไฟฟ้า (Back Up) ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยรวม ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ควรมีการทบทวนเป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดพลังงานและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า การออกแบบโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมจะช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต
บทสรุป: ทางเลือกของไทยสู่อนาคตไฟฟ้าพลังงานสะอาด
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคไฟฟ้า การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีและการคิดค่าธรรมเนียมสายส่งที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังลดขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม กระทบต่อแรงงาน และทำให้ไทยเสียโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การปรับโครงสร้างตลาดไฟฟ้าให้เปิดกว้างมากขึ้น จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เกิดการผลิตและใช้พลังงานสะอาด ลดต้นทุนภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจสีเขียว
ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งดำเนินมาตรการที่ชัดเจนเพื่อสร้างระบบไฟฟ้าที่โปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านโครงสร้างตลาด การกำหนดค่าธรรมเนียมสายส่งที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในภาคพลังงาน หากไม่ปรับตัว ไทยอาจพลาดโอกาสสำคัญในการเป็นศูนย์กลางพลังงานสะอาดของภูมิภาค และเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลังในเวทีเศรษฐกิจโลก
บทความโดย ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ กรณ์ อำนวยพาณิชย์ และชาคร เลิศนิทัศน์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
อ่านรายละเอียดข้อเสนอเพิ่มเติม ข้อเสนอเขย่าโครงสร้างราคา ขยับสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี








