tdri logo
tdri logo
24 เมษายน 2025
Read in 5 Minutes

Views

เปลี่ยนการศึกษาเก่าในโลกใหม่ (3): หลักสูตรใหม่ บนทางแยก

Note: จากบทความในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ได้ฉายภาพให้เห็นแล้วว่าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับปัจจุบัน และหลักสูตรฐานสมรรถนะมีความแตกต่างอย่างไร รวมถึงเมื่อนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปทดลองจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในห้องเรียนเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นบ้าง ในบทความนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอโอกาสในการปฏิรูปหลักสูตรชาติ บทเรียนจากการดำเนินงานที่ผ่านมา และข้อเสนอเชิงนโยบาย

หลักสูตรไม่เปลี่ยน ถ้าระบบไม่เปิด

เป็นเวลากว่า 17 ปีแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 โรงเรียนทั้งหมดต่างก็ยึดตามหลักสูตรแกนกลางฯ ฉบับเดียวกันนี้

แน่นอนว่า 17 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ตลาดแรงงานที่มีทั้งอาชีพใหม่เกิดขึ้น อาชีพเก่าหายไป นำมาซึ่งความต้องการทักษะใหม่ ๆ ในขณะที่หลักสูตรแกนกลางฯ ยังมีข้อจำกัดต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา ผู้เรียนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการพัฒนาสมรรถนะ ขาดความสามารถที่จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

ระบบการศึกษาไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถสร้างทักษะที่จำเป็นแก่ผู้เรียน หน่วยงานทางการศึกษาในประเทศไทยจึงมีความพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรระดับชาติ จากหลักสูตรแกนกลางฯ ที่เน้นการเรียนรู้เนื้อหาสาระ เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เน้นการนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ได้มีความพยายามปรับหลักสูตรแกนกลางฯ ให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะหลายครั้ง โดยคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) เสนอแนะให้นำแนวคิดการศึกษาฐานสมรรถนะมาใช้กับการพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ พร้อมกำหนดกรอบสมรรถนะ 10 ด้านใน พ.ศ. 2562  ต่อมาสำนักวิชาการ และมาตรฐานการศึกษา (สวก.สพฐ.) ได้เผยแพร่กรอบหลักสูตรสมรรถนะ โดยมีสมรรถนะ 5 ด้าน ในช่วง พ.ศ. 2563 แต่ถูกยกเลิกแผนการทดลองใช้ ก่อนที่จะมีการขยายเป็นสมรรถนะ 6 ด้านใน พ.ศ. 2564 แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีหลักสูตรใดที่ถูกนำมาใช้แทนหลักสูตรแกนกลางฯ

นอกจากนี้ การปรับหลักสูตรแกนกลางฯ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ทั้งการปรับเปลี่ยนระบบบริหารวิชาการ (การจัดการสอน การประเมิน การประกันคุณภาพ) การเตรียมความพร้อมบุคลากร รวมถึงระบบบริหารงานบุคคล ระบบบริหารงบประมาณ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ส่งผลต่อผู้เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาแทบทั้งหมด การปรับหลักสูตรจึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

สนามทดลองหลักสูตรใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดทั้งระบบ

แม้การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติจะยังไม่ประสบผลสำเร็จ หลักสูตรฐานสมรรถนะที่มีสมรรถนะ 6 ด้าน ก็ได้มีการนำไปทดลองใช้จริงใน “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเป็นพื้นที่ทดลองให้จังหวัด และโรงเรียนมีอิสระในการบริหารจัดการ เกิดการพัฒนาทั้งนวัตกรรมการบริหาร และนวัตกรรมการสอน นำไปสู่การยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน และลดความเหลื่อมล้ำ

ปัจจุบัน โรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา มีทั้งหมด 1,680 แห่ง จาก 20 จังหวัด และมีโรงเรียนถึง 130 แห่งที่ได้ทดลองนำหลักสูตรฐานสมรรถนะดังกล่าวไปใช้จัดการศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนเพียงกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่สามารถดำเนินการได้ โดยที่มีกฎหมายรับรอง

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเอื้อให้โรงเรียนสามารถทดลองนำหลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรฐานสมรรถนะมาใช้จัดการสอน  จากปัจจัยหลายประการ ประการแรก พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้ให้อิสระโรงเรียนนำร่องในการเลือกใช้หลักสูตรโดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับหลักสูตรแกนกลางฯ รวมทั้งยังสามารถปรับหลักสูตรแกนกลางฯ หรือจะนำหลักสูตรอื่น ๆ มาใช้ก็ได้ เช่น หลักสูตรฐานสมรรถนะ หลักสูตรต่างประเทศ (ม.20 และ ม.25) ทั้งนี้คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (กนน.) ยังมีมติเห็นชอบให้สถานศึกษานำร่องสามารถนำหลักการของ (ร่าง) หลักสูตรฐานสมรรถนะไปพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของตนเองได้ จึงทำให้โรงเรียนนำร่องมีความมั่นใจในการริเริ่มทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ

ประการที่สอง องค์ประกอบการบริหารวิชาการอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการนำหลักสูตรไปใช้จัดการสอน และบริหารจัดการภายในโรงเรียนก็สามารถปรับให้สอดคล้องได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อสื่อหนังสือเรียนที่สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาโดยไม่จำเป็นต้องยึดตามรายการสื่อการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางฯ ที่ สพฐ. ได้กำหนดไว้

นอกจากนี้ยังมีแนวทางการเทียบโอนผลการศึกษาเพื่อคุ้มครองสิทธิในการเรียนต่อของนักเรียนในโรงเรียนนำร่องฯ ที่จบการศึกษาด้วยหลักสูตรฐานสมรรถนะ ไปจนถึงการพัฒนาหลักเกณฑ์การประกันคุณภาพแบบใหม่สำหรับพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งยึดโยงกับผลสัมฤทธิ์เชิงสมรรถนะของผู้เรียนเป็นหลัก

ประการที่สาม โรงเรียนนำร่องฯ ได้รับการพัฒนาศักยภาพทางด้านวิชาการด้วยกลไกสนับสนุนในระดับพื้นที่ ทั้งจากหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่ และผู้เชี่ยวชาญภายนอก เช่น อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา ตัวแทนภาคเอกชน ตัวแทนภาคประชาสังคม ที่เข้ามาสร้างความรู้ความเข้าใจในการจัดการสอนฐานสมรรถนะของครู โดยเฉพาะการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ การเลือก/การใช้สื่อ การวัดและประเมินผล การให้กำลังใจ การจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของครูและนักเรียน และการจัดให้มีการทำงานแบบยืดหยุ่นเพื่อเอื้อให้ครูสามารถจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะได้ มีส่วนช่วยให้ครูมีความเข้าใจและมั่นใจในการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปจัดการมากยิ่งขึ้น

บทสรุป

บทความเปลี่ยนการศึกษาเก่าในโลกใหม่ (1): ว่าที่หลักสูตรใหม่ เรียนไปให้ใช้ได้จริง สะท้อนให้เห็นแล้วว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะมีความแตกต่างจากหลักสูตรฉบับปัจจุบัน ทั้งด้านเป้าหมายการเรียนรู้ที่เปลี่ยนจากการเน้นพัฒนาทักษะการคิด และเน้นถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ให้กับผู้เรียน เป็นเป้าหมายให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ได้จริง มีคำแนะนำการสอนที่เป็นรูปธรรม มีคำอธิบายรายวิชา มีข้อแนะนำการนำสถานการณ์จริงมาใช้ และมีจำนวนชั่วโมงเรียนที่ทั้งลดลงและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

ส่วนบทความเปลี่ยนการศึกษาเก่าในโลกใหม่ (2): ห้องเรียนในโลกจริงที่ทดลองใช้แล้ว 3 ปี แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้นภายหลังการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียน โดยมีตัวอย่างโรงเรียนที่กำหนดเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้งานได้ ใช้เวลาเรียนลดลง จัดการสอนที่เน้นการบูรณาการให้นักเรียนได้ลงมือทำ และสร้างการมีส่วนร่วมกับนักเรียนในระดับที่สูง

บทเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาคนโยบาย ให้นำไปพิจารณาปรับหลักสูตรระดับชาติ

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ยากหากให้โรงเรียนและพื้นที่ดำเนินการภายใต้ระบบปกติ ซึ่งโรงเรียนต้องยึดติดกับกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจึงเปิดโอกาสให้โรงเรียนได้ทดลองเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ และพัฒนานวัตกรรมการศึกษาโดยไม่กระทบต่อการศึกษาทั้งระบบ

พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ.2562 กำลังอยู่ในจุดสำคัญในช่วงระยะเวลา 1 ปีสุดท้าย เนื่องจากพระราชบัญญัติมีเวลาบังคับใช้ 7 ปี และสามารถขยายเวลาบังคับใช้ได้อีก 1 ครั้ง (ไม่เกิน 7 ปี) ดังนั้น การขยายเวลาอีก 7 ปี จึงเปรียบเสมือการเปิดประตูให้ระบบการศึกษาไทยมีโอกาสทดลองจริง ปรับจริง และเปลี่ยนแปลงได้จริง เพื่อให้เด็กไทยมีทางเลือกกับหลักสูตรใหม่ที่เท่าทันโลก

บทความโดย ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยนโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา ทีดีอาร์ไอ

บทความนี้ เนื้อหาส่วนหนึ่งมาจากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ ในงาน Assessing Competency-based Education (CBE) Implementation in Pilot Schools in Thailand  สนับสนุนโดย UNICEF Thailand 

นักวิจัย

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด