การประชุมว่าด้วยการรับรองรายงานการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย (RAM) ภายใต้กรอบการดำเนินงานของ UNESCO
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดยการสนับสนุนจาก UNESCO และสหภาพยุโรป จัดประชุมเพื่อรับรองรายงานการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของประเทศไทย (Readiness Assessment Methodology: RAM) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วมเพื่อร่วมกันทบทวนรายงาน และหารือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนา AI ของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

UNESCO RAM ก้าวสำคัญในการพัฒนา AI ระดับโลก
AI เป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายในปัจจุบัน เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ยูเนสโกได้พัฒนาคำแนะนำว่าด้วยจริยธรรมของ AI โดยใช้ใน 194 ประเทศเมื่อปี 2021 ต่อมาในปี 2023 ยูเนสโกได้พัฒนาและเผยแพร่ระเบียบวิธีการประเมินความพร้อม (Readiness Assessment Methodology: RAM) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยให้แต่ละประเทศประเมินสถานะความพร้อมด้าน AI และวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ยุติธรรม ยั่งยืน และครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินโครงการดังกล่าวในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565–2570 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 และมีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ” (National AI committee) ในเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน

หลังจากประเทศไทยได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติมาครบ 2 ปี จึงเข้าสู่การประเมินความพร้อมตามกรอบยูเนสโก RAM ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และทันท่วงทีต่อการระบุสถานะปัจจุบันของระบบนิเวศAI ในประเทศไทยอย่างครอบคลุม และออกแบบการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนิเวศดังกล่าวมีความพร้อมมากขึ้น โดยมีการร่วมมือ และเป็นเจ้าของร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด พร้อมทั้งกำหนดทิศทางไปสู่การใช้AIที่ถูกต้องตามจริยธรรม

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวเปิดงานและย้ำถึงความสำคัญของ RAM ในการเป็น “กระจกสะท้อน” ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถมองเห็นสถานะความพร้อมและโอกาสในการพัฒนา AI อย่างเป็นระบบและมีจริยธรรม พร้อมระบุด้วยว่า RAM ถือเป็นกลไกสำคัญที่ยูเนสโกพัฒนาขึ้นเพื่อประเมินระดับความพร้อมของประเทศสมาชิกในการพัฒนา และใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างรับผิดชอบ รวมทั้งคำนึงถึงหลักจริยธรรม โดยมุ่งเน้นให้ประเทศต่าง ๆ สามารถกำหนดแนวทางและนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่Mr. Phinith Chanthalangsy, Regional Advisor for the Social and Human Sciences ตัวแทนจากยูเนสโก ได้กล่าวถึงบทบาทของ RAM และการสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกมีความพร้อมด้าน AI โดยเน้นย้ำถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในยุคดิจิทัล
“RAM ไม่ได้เป็นเพียงการประเมินทางเทคนิค แต่ยังเป็นการสร้างจิตสำนึกทางจริยธรรมในการใช้ AI เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม” Mr. Phinith ระบุ
สำหรับการประเมิน RAM นั้นครอบคลุม 5 มิติ ประกอบด้วย 1.มิติสังคมและวัฒนธรรม หรือการเข้าถึง AI อย่างเท่าเทียมและการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 2. มิติการศึกษาและวิทยาศาสตร์ หรือการพัฒนาทักษะและความรู้ด้าน AI ในทุกระดับ 3. มิติทางเศรษฐกิจ หรือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 4. มิติโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี หรือความพร้อมด้านดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของ AI และ5. มิติกฎหมายและการกำกับดูแล หรือการสร้างกรอบในการส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม
ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการประเมินความพร้อมด้าน AI ภายใต้กรอบ RAM โดยการประชุมครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมกันทบทวนและพิจารณารายงานที่ได้จัดทำขึ้น เพื่อให้สามารถสะท้อนสถานะความพร้อมของประเทศได้อย่างแท้จริง
ประเทศไทยกับความก้าวหน้าภายใต้ RAM
ด้านดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงผลการประเมินในครั้งนี้ว่า การประเมินภายใต้กรอบ RAM ทำให้ประเทศไทยสามารถระบุจุดแข็งทางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเทคโนโลยีที่มีอยู่ รวมถึงความท้าทายเชิงนโยบายที่ยังต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการประเมินนี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและตอบสนองต่อการพัฒนา AI อย่างตรงจุด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจดิจิทัลในระดับสากล

ดร. สลิลธร ระบุด้วยว่า จากการประเมินในครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้ครอบคลุม การลงทุนในงานวิจัยที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรม และพัฒนาทักษะบุคลากรที่พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการมีสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้การพัฒนา AI ในประเทศไทยไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
เตรียมเสนอผลประเมินในการประชุม Global Forum on the Ethics of AI เวทีโลกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ

สำหรับผลการประเมินและการทบทวนจากการประชุมครั้งนี้จะถูกนำเสนอในเวทีระดับโลก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับยูเนสโกในเดือนมิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพมหานคร โดยเวทีนี้จะรวบรวมผู้นำโลก ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และผู้กำหนดนโยบายจากประเทศสมาชิกของยูเนสโก เพื่อหารือความท้าทาย และโอกาสในการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม พร้อมเร่งผลักดันให้นำนโยบายด้านจริยธรรม AI ของยูเนสโกไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในด้าน AI แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในการพัฒนา และการใช้งาน AI อย่างยั่งยืนและปลอดภัย อันเป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในการผลักดัน AI อย่างมีจริยธรรมและยั่งยืนบนเวทีโลก