tdri logo
tdri logo
30 มิถุนายน 2025
Read in 5 Minutes

Views

ฝนมา น้ำไม่ไป เพราะกทม.เป็นเมืองไม่พรุน

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม และด้วยอิทธิพลจากลานีญา ทำให้ในปีนี้ประเทศไทยมีปริมาณฝนที่มากกว่าปกติในหลายพื้นที่ ยังไม่นับรวมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น และอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ระเบิดฝน” หรือที่เรียกว่า Rain Bomb หรือ Cloudburst  ซึ่งฝนแบบนี้จะตกหนักมากในระยะเวลาสั้น ๆ หากเกิดในพื้นที่เมืองซึ่งระบบระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขัง 

ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร เตรียมพร้อมรับมือปริมาณฝนที่จะเข้ามาในช่วงฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขุดลอกและพร่องน้ำในระบบคูคลอง การจัดการขยะและไขมันในระบบท่อระบายน้ำ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำด้วยอุโมงค์ระบายน้ำ ทั้งที่ดำเนินการก่อสร้างแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ

ทว่า กรุงเทพฯ ยังคงเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักอยู่ในหลายพื้นที่ เช่นที่เคยเกิดน้ำท่วมขังบนถนนบางนา-ตราดหลังฝนตกหนักจนทำให้รถติดสะสมเป็นระยะทางที่ยาวถึง 31 กิโลเมตร ในพื้นที่รอยต่อระหว่างกรุงเทพฯและสมุทรปราการ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 

สาเหตุส่วนหนึ่งของน้ำท่วมขัง อาจมาจากการที่ กรุงเทพฯ ยังพรุนไม่พอ 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ความพรุน” กำลังเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่หลายเมืองทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญ ความพรุนเป็นแนวคิดการออกแบบที่มีมานานแล้วในแวดวงภูมิสถาปัตย์ ซึ่งหมายถึงการออกแบบพื้นที่ให้สามารถซึมน้ำได้ โดยเพิ่มการใช้พื้นผิวที่มีลักษณะพรุน เช่น ยางมะตอยพรุนหรือคอนกรีตพรุน (Porous asphalt / concrete)  ไปจนถึงการเพิ่ม สวนสาธารณะ สวนน้ำฝน (Rain garden) สวนบนดาดฟ้าอาคาร และสวนแนวตั้ง ซึ่งสวนเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูดซึมและหน่วงน้ำ ช่วยลดปริมาณและความแรงของน้ำฝนที่จะเข้าสู่ระบบระบายน้ำ อันเป็นการลดการพึ่งพาระบบระบายน้ำในการจัดการน้ำฝนและน้ำท่วมแต่เพียงอย่างเดียว

ในต่างประเทศ มีหลายเมืองที่มียุทธศาสตร์เพิ่มความพรุนให้กับเมือง เพื่อจัดการปัญหาน้ำท่วม เช่น หลายเมืองในสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ อู่ฮั่น ได้นำแนวคิด “เมืองฟองน้ำ” มาใช้ปรับปรุงบางส่วนของพื้นที่เมืองให้พรุนมากขึ้น ด้วยการเพิ่มพื้นที่สวน แหล่งรับน้ำ และการปูพื้นทางเท้าหรือถนนด้วยวัสดุแบบซึมน้ำ 

หรือแม้แต่เมืองในยุโรปอย่างกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก มีแผนการรับมือ Cloudburst อย่างจริงจัง โดยการเพิ่มสวนน้ำฝนตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วเมือง หรือทำร่องน้ำชีวภาพ (Bioswales) ซึ่งเป็นร่องน้ำตื้นๆ ที่มีพืชพรรณปกคลุม ทำหน้าที่ชะลอการไหลของน้ำ 

รวมทั้งเมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ อย่างสิงคโปร์ มียุทธศาสตร์เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมือง ถึงจะแม้มุ่งเน้นไปที่การลดความร้อนในตัวเมือง ด้วยการส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีพื้นที่สีเขียวและสวนแนวตั้ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความพรุนให้กับสิงคโปร์ได้เช่นเดียวกัน

ในขณะเดียวกัน เมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ไม่ได้ละทิ้งระบบระบายน้ำหลัก เช่น ท่อระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของเมือง โดยมีการเพิ่มศักยภาพของระบบท่อระบายน้ำ และบำรุงรักษาระบบเหล่านี้ให้พร้อมใช้งานอย่างเต็มศักยภาพอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่าการจัดการน้ำที่ดีนั้น เป็นการทำงานควบคู่กันไปของโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว-ฟ้า (Green – Blue infrastructure) หรือ พื้นที่สีเขียวและพื้นที่รับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (Grey infrastructure) หรือระบบระบายน้ำ

แต่ทว่าเมื่อหันกลับมาที่กรุงเทพฯ คำถามสำคัญของการจัดการน้ำฝนที่ผ่านมาคือ โครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและฟ้า ซึ่งจะทำให้เมืองพรุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำของระบบระบายน้ำนั้น ควรถูกนำมาใช้มากขึ้นในพื้นที่เมืองหรือไม่ ? จะทำอย่างไรให้ “สวนน้ำฝน” ที่สามารถรับน้ำและหน่วงน้ำ เช่น อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสวนป่าเบญจกิติ เกิดขึ้นในพื้นที่สวนอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ มากขึ้น ?

รวมทั้งจะทำให้อย่างไรให้วัสดุอย่างยางมะตอยพรุนหรือคอนกรีตพรุน ซึ่งเริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วในบริเวณฐานของต้นไม้ริมทางเท้า ถูกนำมาใช้กับพื้นที่บางส่วนของถนนหรือทางเท้าทั่วกรุงเทพฯ ? หรือจะทำอย่างไรให้อาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐานทั่วกรุงเทพฯ มีสวนดาดฟ้าและสวนแนวตั้งเพิ่มขึ้น ?

การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ คงหนีไม่พ้นการที่ภาครัฐต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อเพิ่มความพรุนให้กับเมือง ทั้งจากการดำเนินงานของภาครัฐ-เมืองเอง หรือเพิ่มแรงจูงให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเพิ่มความพรุนด้วยพื้นที่สีเขียว-พื้นที่รับน้ำ ผ่านมาตรการอุดหนุนทางทั้งการเงิน ภาษี และผังเมือง

การเพิ่มความพรุนให้เมืองนั้น ยังจัดเป็นแนวนโยบายที่สร้างประโยชน์ร่วม (co-benefit) เพราะไม่เพียงแต่ช่วยจัดการปัญหาน้ำท่วม แต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและนันทนาการ ลดปัญหามลภาวะ ลดปัญหาเกาะความร้อนในเขตเมือง ซึ่งล้วนส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองดีขึ้นด้วยทั้งสิ้น นโยบายที่ทำหนึ่งแต่สามารถอย่างสร้างประโยชน์หลายอย่างในลักษณะนี้ เป็นนโยบายที่จะคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์เสมอ

ถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพฯ จะต้องพิจารณาเพิ่ม ‘ความพรุน’ ในมิติการพัฒนาเมือง เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้ เพื่อที่คนกรุงจะได้ไม่ต้องลุ้นทุกครั้งที่ฝนตกว่า จะเกิดน้ำท่วมขังจนถนนกลายเป็นคลองเหมือนอย่างที่ผ่านมา

บทความโดย นันทชาติ รัตนบุรี นักวิจัยนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

เผยแพร่ครั้งแรก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 มิ.ย. 2568

นักวิจัย

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด