tdri logo
tdri logo
24 มิถุนายน 2025
Read in 5 Minutes

Views

การจัดการชีวมวลจากการเกษตร เกิดผลดีอย่างไรต่อเกษตรกรและโลก

“บทความ 3 ชิ้นที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้1 ได้อธิบายผลดีของการจัดการชีวมวลแทนการเผาทั้งต่อโลก ต่อตัวเกษตรกร และต่อเพื่อนมนุษย์ บทความชิ้นนี้จะวิเคราะห์แนวทาง และเทคโนโลยีใหม่ในการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน 4 ด้าน ความท้าทายและข้อจำกัดของการจัดการแต่ละวิธี พร้อมกับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย”

การจัดการชีวมวลแบบยั่งยืนเกิดผลดีต่อโลกอย่างไร 

“มนุษย์กำลังใช้โลกจนเกินขีดจำกัดแล้วหรือไม่ ?” เป็นคำถามที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การค้นหาคำตอบของนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยสต๊อกโฮล์ม ซึ่งได้กำหนดขอบเขตความสามารถของระบบโลกที่สามารถรองรับน้ำมือมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย หรือ อาจเรียกสั้นๆ ว่า ขอบเขตหรือขีดความสามารถของโลก (planetary boundaries) 9 ระบบ (ดูรูปที่ 1)

ถ้าขอบเขตทั้ง 9 ด้านถูกล่วงละเมิด สิ่งแวดล้อมของโลกจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ (self- regulate) ทำให้ระบบโลกไร้เสถียรภาพ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ก็อาจจะสูญพันธุ์ 

ในปี 2566 นักวิทยาศาสตร์รายงานว่ามีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าพรมแดนความปลอดภัย 6 ใน 9 ด้านถูกมนุษย์ล่วงละเมิดไปแล้ว (Richardson et al. 2023)  ได้แก่ ได้แก่ (1) ภาวะโลกเดือด (2) วัฏจักรไนโตรเจนและฟอสฟอรัส หรือ biogeochemical flows (3) การสูญเสียความสมบูรณ์ของชีวมณฑล (loss of biosphere integrity) (4) การเปลี่ยนแปลงระบบการใช้ที่ดิน (เช่นการเผาป่าเพื่อทำเกษตร หาของป่า หรือสร้างรีสอร์ท) (5) น้ำจืดบนโลก และ (6) การปนเปื้อนของสารสังเคราะห์/สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมในธรรมชาติ (release of novel entities)

ส่วนอาณาเขตของระบบโลกที่ยังไม่ถูกละเมิด (รูปที่ 1) ได้แก่  (7) มหาสมุทรกลายเป็นกรด (ocean acidification) (8) การสูญเสียโอโซนในชั้นบรรยากาศ (stratospheric ozone depletion) และ (9) การเพิ่มขึ้นของปริมาณสารแขวนลอยในชั้นบรรยากาศ (atmospheric aerosol loading) ตัวอย่างสำคัญคือฝุ่นพิษ PM2.5 แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะกำหนดขอบเขต

ประเด็นสำคัญ คือการเผาชีวมวลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดพรมแดนความปลอดภัยของระบบโลก ถึง 4 – 5 ด้าน ดังนี้ (ก) การเผาวัสดุการเกษตรและป่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโลกเดือด เพราะเกิดก๊าซเรือนกระจกชนิดต่างๆ ประมาณ 11.9 พันล้านตันคาร์บอนต่อปี (IPCC 2022) (ข) การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินความจำเป็นในภาคเกษตร จนเกินกว่าขอบเขตความสามารถของระบบโลก  ทำให้เกิดวัฏจักรไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ถ้ามีการไถกลบ เราก็สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีทั้งสองชนิดได้

(ค) ฝุ่นพิษ PM2.5 จากการเผาชีวมวล นอกจากจะสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำลายความหลากหลายด้านชีวภาพ แต่ยังไม่มีการวัดความสูญเสียในประเทศไทย  (ง) การเผาป่าเพื่อทำเกษตร หาของป่า หรือสร้างรีสอร์ท เป็นต้นเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงระบบการใช้ที่ดินของโลก (จ) การเผาวัสดุการเกษตรและป่าไม้มีส่วนทำให้ความชื้นในดินในบริเวณรากพืชลดลง ความชื้นดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญต่อปริมาณต้นทุนน้ำจืดประเภท green water ที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของน้ำจืดในการวิเคราะห์พรมแดนความปลอดภัยของระบบโลกครั้งล่าสุด (เดิมวัดเฉพาะน้ำผิวดินในแม่น้ำลำคลอง หรือที่เรียกว่า blue water)

                     รูปที่ 1: ขอบเขตความสามารถของโลก (planetary boundaries) 9 ระบบ

ที่มา: Richardson et al. 2023. “Earth beyond six of nine planetary boundaries.” Science Advances. 9, 37.

ผลดีของการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน ที่มีต่อคนและชุมชน

ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ ความหวังอยู่ที่การ “การใช้ชีวมวลให้เกิดประโยชน์” อย่างแท้จริง หากมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยโอกาสจากชีวมวลสามารถแบ่งออกได้หลายแนวทาง

1. การใช้ในไร่นา: ประโยชน์ที่ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล

ฟางข้าวและใบอ้อยสามารถถูกไถกลบลงในดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำ ส่งเสริมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย วิธีนี้แม้ต้องลงทุนค่อนข้างมากในระยะเริ่มต้นเมื่อเทียบกับราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้

แต่ในระยะยาวสามารถลดต้นทุนปุ๋ยเคมีและเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน แต่เกษตรกรกว่าจะเริ่มเห็นประโยชน์นี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี การประมาณการของ Nipon et.al. 2025 พบว่าประโยชน์สุทธิจากการไถกลบตอซัง/ฟางข้าวจะสูงกว่าการเผาถึงไร่ละ 253 บาท นอกจากนั้นครอบครัวและคนในชุมชนไม่มีปัญหาสุขภาพจากฝุ่นมลพิษ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของครัวเรือนลดลง 1 ใน 3 

2. การแปรรูปเพื่อการเกษตร: ค่าขนส่งสูง ทำได้เพียงบางพื้นที่

ฟางข้าวยังสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่แห้งแล้ง หรือมีการเลี้ยงวัวในครัวเรือน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพาะเห็ด หรือหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งล้วนเป็นทางเลือกที่เพิ่มมูลค่าให้กับชีวมวลได้เป็นอย่างดี ข้อจำกัดบางประการคือฟางข้าวเป็นอาหารสัตว์ที่ไม่ดี ธาตุอาหารต่ำ ข้าวพันธุ์ไวแสงที่ใช้เวลาเติบโตนานฟางจะเหนียวสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ชอบ เกียรติศักดิ์ (2558) ระบุว่าฟางข้าวสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ แต่จะชะลออัตราการเติบโตของน้ำหนักสัตว์ เหลือเพียงคงน้ำหนักตัวให้เท่าเดิม โดยทั่วไปเกษตรกรจะใช้ฟางข้าวเพียงอย่างเดียวเฉพาะฤดูแล้ง 1-2 เดือน โดยให้ในอัตรา 2.5% ของน้ำหนักตัวสัตว์ ลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ได้เฉลี่ย 2 พันบาทต่อปีต่อตัว

อีกทางหนึ่ง ฟางข้าวยังนิยมใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ด เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า และเห็ดหูหนู ซึ่งเป็นอาชีพเสริมที่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อย ช่วยสร้างรายได้ในครัวเรือน โดยใช้พื้นที่น้อยและลงทุนต่ำ อย่างไรก็ตามมีข้อจำกัดบางประการ เห็ดเหล่านี้มีอายุการเก็บรักษาสั้น จำเป็นต้องอยู่ใกล้ตลาดรับซื้อ ทำให้ไม่สามารถผลิตออกมาเป็นจำนวนมากในแต่ละรอบ ฟางที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบต้องมาจากแปลงนาที่ระวังเรื่องการใช้สารกำจัดเชื้อรา เนื่องจากจะกระทบประมาณผลผลิตเห็ดได้

3. การผลิตพลังงานชีวมวล

ฟางและใบอ้อยสามารถนำไปอัดเป็นเม็ด หรือแท่ง ใช้ในโรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อน แม้ต้นทุนการอัดแท่ง และขนส่งเบื้องต้นอาจสูง แต่หากมีการจัดตั้ง “จุดรวบรวมวัสดุชีวมวล” หรือ Logistics Hub ก็สามารถสร้างห่วงโซ่พลังงานทางเลือกที่มั่นคงได้ในระดับพื้นที่ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการศึกษา และวางแผนจุดที่จัดตั้งอย่างรอบคอบเพื่อให้ต้นทุนในการขนส่งต่ำที่สุด ปัจจุบันมีโรงงานพลังงานชีวมวลหลายแห่ง เช่น อุตรดิตถ์กรีนเพาเวอร์ บริษัทโคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

4. ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์จากชีวมวล เช่น จาน กล่องอาหาร หรือหลอดที่ย่อยสลายได้วางขายในร้านค้าทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากชานอ้อยหรือฟาง แม้ต้นทุนยังสูงกว่าพลาสติกและการใช้เยื่อกระดาษ  เช่น กลุ่มเกษตรกร ชัยนาทฟาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถนำมาผลิตเป็นวัสดุก่อสร้าง (เช่น particle board, แผ่นกันฉนวน อิฐบล๊อค) เช่น บริษัท Wasoo จำกัด เป็นต้น ซึ่งหากภาครัฐส่งเสริมตลาดและกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน ก็จะสามารถผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ภายใต้จุดแข็งที่ลดผลกระทบทางสุขภาพ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของประเทศ

การนำฟางไปผลิตเป็นเอทานอลเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติค เป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตร ลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากน้ำมัน และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยไบโอพลาสติกที่ได้สามารถย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญคือกระบวนการผลิตเอทานอลจากเซลลูโลสยังมีต้นทุนสูง ต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะด้าน และระบบจัดเก็บฟางยังไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนในด้านการวิจัย พัฒนา และระบบโลจิสติกส์ควบคู่กันไป

เทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถนำชีวมวลมาใช้ประโยชน์ และช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล สามารถบรรลุคำมั่นเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย net zero ในปีค.ศ. 2065 (ตารางที่ 1 อธิบายตัวอย่าง และข้อดีของการใช้ประโยชน์จากชีวมวลแทนการเผา )

เทคโนโลยีและข้อจำกัดบางประการ

แม้การจัดการชีวมวลจะเกิดผลดีต่อคน และโลก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดต่างๆ ดังนี้ (1) พฤติกรรมของเกษตรกรที่เลือกการเผาชีวมวล เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเตรียมดิน โดยเฉพาะการกำจัดวัชพืชและเชื้อโรค รวดเร็วทำให้สามารถปลูกข้าวได้ทันเวลาการส่งน้ำ สามารถปลูกได้อย่างน้อยสองรอบต่อปี หรือสามารถตัดอ้อยทันส่งโรงงานก่อนปิดหีบ และแม้การไถกลบจะช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ประหยัดค่าปุ๋ยเคมี และได้ผลผลิตมากขึ้น แต่ชาวนาต้องลงทุนเสียค่าจ้างรถไถ/ค่าน้ำมัน และในบางพื้นที่อาจไม่มีรถไถที่มีอุปกรณ์ที่ต้องการ  และต้องใช้เวลาในนามากขึ้น เสียรายได้จากการทำงานอื่น จึงไม่คุ้มค่าสำหรับเกษตรกรจำนวนมาก

(2) การใช้ฟางเลี้ยงวัว/ปลูกเห็ด มีปัญหาต้นทุนขนส่งสูง และกรณีใช้ปลูกเห็ด ก็มีข้อจำกัดทางเทคนิค (3) การนำชีวมวลไปผลิตพลังงานชีวมวล (รวมทั้งการทำ pellet) นอกจากมีต้นทุนสูงกว่าต้นทุนผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โซล่า ปัญหาความเพียงพอของปริมาณชีวมวลเพื่อให้โรงงานพลังงานชีวมวลสามารถผลิตได้ตลอดปี (ระดับการใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิต) และขนาดโรงงานที่เหมาะสมแล้ว ยังมีข้อจำกัดด้านนโยบายพลังงานที่ยังไม่เปิดเสรี โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านมาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในรูปแบบfeed in tariff และชุมชนต่อต้านการตั้งโรงงานชีวมวล (4) การผลิตวัสดุก่อสร้างจากชีวมวล ก็ยังติดปัญหามาตรฐานผลิตภัณฑ์ ความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยี และความนิยมของผู้บริโภค (5) ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ต่างๆที่ย่อยสลายได้ เช่น ถ้วยชาม หีบห่อ เครื่องประดับบ้าน ฯลฯ ตลาดยังแคบอยู่ และข้อจำกัดในการใช้ (ดู รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องข้อจำกัดด้านเทคนิค และเศรษฐกิจ ในตาราง 1)

ข้อเสนอแนะ: สู่นโยบายการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน

จากงานวิจัยล่าสุด ผู้เขียนได้เสนอข้อเสนอเชิงนโยบายที่ครอบคลุมทั้งพื้นที่ชลประทาน พื้นที่พึ่งพาน้ำฝน และการใช้ประโยชน์จากชีวมวลในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อพลิกปัญหาการเผาให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

นโยบายสำหรับพื้นที่ชลประทาน: หยุดเผา ด้วยแรงจูงใจและแรงขับทางสังคม

ในพื้นที่ชลประทานที่สามารถใช้เครื่องจักรและมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเกษตรกรได้เร็ว นักวิจัยเสนอให้ใช้มาตรการ “ผลักและดึง” อย่างเป็นระบบ ได้แก่ ก) เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข สำหรับเกษตรกรที่เลือกไถกลบฟางแทนการเผา ข) บริการเครื่องจักรครบวงจร ที่สามารถสับฟางและไถกลบได้อย่างรวดเร็ว ค) การใช้แรงกดดันทางสังคม โดยให้ข้อมูลผลกระทบสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 แก่ชุมชน และมอบรางวัลให้กลุ่มเกษตรกรที่สามารถหยุดการเผาได้ เมื่อมาตรการดำเนินไปถึงระดับหนึ่ง งานวิจัยชี้ว่า เกษตรกรจะยังคงใช้วิธีไถกลบต่อไปแม้ไม่มีเงินอุดหนุน ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อท้าทายเรื่องผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ที่ใช้ย่อยฟาง ซึ่งพบว่าหลายผลิตภัณฑ์ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ไม่มีการควบคุมฉลากตามกฎหมาย และอาจมีความเสี่ยงด้านชีวอนามัย ดังนั้นจึงเสนอให้มีการออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เหล่านี้อย่างเข้มงวด และส่งเสริมการวิจัยในระดับประเทศ

พื้นที่พึ่งพาน้ำฝน: ส่งเสริมเกษตรทางเลือกและการรวมกลุ่ม

ในพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทาน การไถกลบอาจทำได้ยาก นักวิจัยจึงเสนอให้ส่งเสริมทางเลือกใหม่ เช่น ก) ให้เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข สำหรับเกษตรกรที่ปลูกพืชไร่หลังนาในพื้นที่ที่ดินยังมีความชื้น หรือเกษตรผสมผสานในกรณีที่น้ำเพียงพอ ในพื้นที่ที่ความชื้นต่ำน้ำไม่เพียงพอสามารถใช้วิธี ข) ส่งเสริมการเปลี่ยนไปสู่เกษตรใช้น้ำน้อย เช่น ปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินเพื่อให้ได้ปุ๋ยในฤดูถัดไป กิจกรรมในข้อ ก) และข) สามารถทำได้โดยไม่ต้องเผานาโดยการเหยียบฟางและตอซังให้ราบไปกับพื้น แล้วไถเป็นร่องเพื่อปลูกพืชที่ต้องการ

ค) ส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นหรือฟื้นฟูป่า ควบคู่กับระบบคาร์บอนเครดิต เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายคาร์บอนและมีรายได้เสริม ง) สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่ม เพื่อวางแผนเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวร่วมกัน ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการเผาฟาง นโยบายเหล่านี้ต้องการการลงทุนวิจัยเพิ่มเติมในระดับพื้นที่ เพื่อหาพืชหรือระบบเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละชุมชน

หนุนการใช้ชีวมวลเชิงเศรษฐกิจ: จากฟางสู่พลังงานและผลิตภัณฑ์สีเขียว

การใช้ฟางและใบอ้อยให้เกิดมูลค่า เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถลดการเผาได้อย่างยั่งยืน เช่น การนำไปเลี้ยงสัตว์ เพาะเห็ด หมักปุ๋ย ผลิตกระแสไฟฟ้า หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพและวัสดุก่อสร้าง นักวิจัยเสนอแนวทางสนับสนุน เช่น: ก) เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับการลงทุนด้านเครื่องจักรเก็บเกี่ยว การตั้งจุดรวบรวมชีวมวล และอุตสาหกรรมชีวภาพ ข) สนับสนุนวิจัยและนวัตกรรม เช่น การพัฒนาแผ่นไม้จากฟาง การผลิตไบโอพลาสติก และวิจัยตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ค) ออกกฎหมายมาตรฐาน สำหรับสินค้าไบโอ เช่น ฉลากย่อยสลายได้หรือวัสดุก่อสร้างจากชีวมวล ง) ส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกอบรม ให้เกษตรกรมีทักษะในการใช้ฟางอย่างปลอดภัยและสร้างมูลค่า จ) นอกจากนี้ ยังเสนอให้ขยายบทบาทของ “หมู่บ้านปลอดการเผา” โดยให้รางวัลแก่ชุมชนที่สามารถจัดการฟางและใบอ้อยได้โดยไม่เผา ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ขยายได้ในระดับประเทศ อย่างไรก็ดีการรวมรวมฟางมาเพื่อใช้ประโยชน์จำเป็นต้องมีการพัฒนาจุดรวบรวมวัสดุชีวมวล ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษา และวางแผนจุดที่จัดตั้งอย่างรอบคอบเพื่อให้ต้นทุนในการขนส่งต่ำที่สุด

นอกจากนี้การผลักดัน พลังงานไฟฟ้าจากชีวมวลให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น จะต้องไม่ดำเนินการภายใต้โครงสร้างนโยบายพลังงานแบบเดิมที่รวมศูนย์และจำกัดการแข่งขันอย่างเข้มงวด นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของพลังงานชีวมวลคือ กรอบนโยบายที่ไม่เอื้อต่อความเสรี โดยเฉพาะเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าในพื้นที่ชนบทและชุมชนที่มีชีวมวลเหลือใช้จำนวนมาก

ในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กหรือชุมชนประสบปัญหาเรื่อง ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่ภาครัฐรับซื้อ และการเข้าถึงระบบสายส่งไฟฟ้ายังคงถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ การแข่งขันไม่เท่าเทียมทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีแรงจูงใจเพียงพอ

ทางออกที่ชัดเจนคือ การปฏิรูประบบพลังงานให้เสรีมากขึ้น เช่น ก) เปิดโอกาสให้เอกชนรายย่อยขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบในระดับท้องถิ่นได้ ข) ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนจริงและสนับสนุนพลังงานสะอาดซึ่งอาจต้องมีการอุดหนุนต้นทุนการผลิตหากต้องการควบคุมราคาไฟฟ้า ค) ส่งเสริมระบบ “โครงข่ายพลังงานชุมชน” ที่ใช้ชีวมวลจากฟางข้าว ใบอ้อย และเศษวัสดุเกษตรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ง) ใช้นโยบาย Feed-in Tariff ที่จูงใจมากกว่าการประมูลแข่งขัน ซึ่งมักเอื้อรายใหญ่

หากประเทศไทยสามารถปรับนโยบายพลังงานให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ จะไม่เพียงช่วยลดการเผาในภาคเกษตร แต่ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน เกิดการกระจายอำนาจทางพลังงาน และขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม

สู่เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน

การจัดการฟางข้าวและใบอ้อยไม่ควรเป็นแค่ปัญหาฤดูแล้งที่รอการจับปรับ แต่ควรกลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ที่เชื่อมโยงทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ หากภาครัฐสามารถออกแบบนโยบายที่ยืดหยุ่นตามสภาพพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ สนับสนุนนวัตกรรม และปลูกฝังความรู้ให้เกษตรกร การหยุดเผาจะไม่ใช่เรื่องยาก และประเทศไทยจะเดินหน้าสู่อนาคตที่ปลอดฝุ่นได้อย่างแท้จริง

นโยบายและมาตรการส่งเสริมการจัดการชีวมวลแบบยั่งยืน

แม้จะมีเทคโนโลยีและแนวทางการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน (รวมทั้งเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร) แต่ยังมีความท้าทาย/ข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายเล็กไม่อาจนำเทคโนโลยีข้างต้นมาใช้ (ดูตารางที่ 1) ได้แก่ การที่เกษตรกรส่วนใหญ่แก่ตัว มีรายได้จากการเกษตรต่ำ จึงขาดแรงจูงใจในการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยงสูง เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความรู้และมีเกษตรกรเพียงหยิบมือเดียวที่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ใหม่มาใช้อย่างได้ผล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี นโยบายและมาตรการสนับสนุนให้เกษตรกรนำเทคโนโลยีใหม่ในการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืนมาใช้ประโยชน์ 5 ด้านดังต่อไปนี้

1. มาตรการด้านการอุดหนุน และแรงจูงใจเพื่อสนับสนุนการลงทุน

การลงทุนในระบบจัดการชีวมวลทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำมีต้นทุนสูง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น

  • กรณีไถกลบฟางข้าวและใบอ้อย จำเป็นต้องมี “เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข” ควบคู่กับ “บริการเครื่องจักรครบวงจร” เช่น สับฟางและไถกลบ รวมถึง การใช้แรงกดดันทางสังคม (social pressure) เช่น รางวัลหมู่บ้านปลอดการเผา
  • การผลิตพลังงานชีวมวล ต้องใช้ มาตรการ Feed-in Tariff (FiT) เพื่อการันตีการรับซื้อไฟฟ้าในราคาที่จูงใจ การเปิดเสรีนโยบายพลังงานทางเลือกและ การอุดหนุนเครื่องอัดฟางหรือระบบขนส่งชีวมวล
  • การผลิตภาชนะย่อยสลายได้หรือวัสดุก่อสร้างจากฟาง ควรมี สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจ Startup

2. การส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม

งานวิจัยเป็นหัวใจในการยกระดับการใช้ชีวมวลให้มีมูลค่าเพิ่มและใช้ได้จริงในสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างนโยบายสำคัญ ได้แก่

  • การวิจัยเชิงลึกเรื่องผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 20 ยี่ห้อในตลาด แต่ยังขาดการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์และความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ
  • การวิจัยต้นแบบอุตสาหกรรมระดับชุมชน เช่น โรงงานผลิตแผ่นไม้จากฟาง โรงงานหล่อเยื่อกระดาษ (pulp molding) หรือการผลิต bio-ethanol จากวัสดุเหลือใช้ เพื่อใช้ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติก

มาตรการที่สำคัญคือการสร้างระบบแรงจูงใจใหม่ให้อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิชาการสาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องในการทำงานวิจัยและพัฒนาร่วมกับเกษตรกรและผู้ประกอบการด้วยการนำระบบ “ศาสตราจารย์นวัตกรรม” มาเป็นแรงจูงใจให้อาจารย์ที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการจนประสบความสำเร็จ สามารถรังสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ จนเกิดผลดีทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

3. การสร้างสถาบันและระบบการกำกับควบคุมแบบที่มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อภาระต้นทุนทางธุรกิจที่สูง

ระบบกำกับที่ดีควรมีมาตรฐานที่ชัดเจน โปร่งใส และไม่สร้างภาระต่อนักลงทุนหรือเกษตรกรมากเกินไป ตัวอย่างนโยบาย ได้แก่

  • การกำกับผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์เพื่อย่อยสลาย ซึ่งยังไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ปุ๋ย หรือ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย จึงไม่มีการควบคุมคุณภาพ แม้บางยี่ห้ออ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น การกำจัดข้าวดีดหรือย่อยเมล็ดหญ้าได้รวดเร็ว
  • การออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากฟาง เช่น แผ่นไม้ไบโอ ฉนวน หรือภาชนะที่ย่อยสลายได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตลาด พร้อมทั้งส่งเสริมการจดทะเบียนสินค้าและการใช้ eco-labeling

4. การพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Resource Development) และการฝึกอบรม

การสร้างความรู้และทักษะให้กับทั้งเกษตรกร แรงงาน ผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่รัฐเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การใช้ชีวมวลเกิดผลอย่างยั่งยืน

  • การอบรมเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ผ่านโรงเรียนเกษตรกร หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อถ่ายทอดเทคนิคการใช้ประโยชน์จากชีวมวล หมักปุ๋ย การเพาะเห็ด การใช้ฟางเลี้ยงสัตว์ การไถกลบ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุต่างๆ
  • การฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และมาตรฐานการประเมินผลประโยชน์จากการปลูกป่า การใช้ชีวมวล หรือการผลิตพลังงานทดแทน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดคาร์บอนในอนาคต
  • การฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาไอเดียและผลิตภัณฑ์จากฟางข้าวหรือใบอ้อย เช่น ภาชนะย่อยสลายได้ วัสดุก่อสร้าง หรือผลิตภัณฑ์ตกแต่งภายใน จำเป็นต้องมีบุคลากรที่สามารถออกแบบสินค้าให้มีทั้งประโยชน์ใช้สอย ความสวยงาม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชีวมวล
  • การฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์จากชีวมวลเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นใจ จำเป็นต้องมีระบบมาตรฐานรองรับ เช่น ความสามารถในการย่อยสลาย ความทนทานต่อไฟหรือความชื้น และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะมีบทบาทในการประเมิน รับรอง และให้คำปรึกษาแก่ผู้ผลิต โดยควรร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สมอ. หรือกรมวิชาการเกษตร

5. การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ของสาธารณะ (Public Awareness Campaigns)

เพื่อให้การจัดการชีวมวลไม่เป็นเพียงเรื่องของเกษตรกร แต่เป็นความร่วมมือของทั้งสังคม ควรมีการสื่อสารในหลายมิติ

  • การประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ไบโอ เช่น จานชามย่อยสลายได้ ฉนวนจากฟาง หรือพลังงานสะอาดจากฟางข้าว
  • บูรณาการเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษา หรือกิจกรรมพัฒนาเยาวชน ให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้เรื่องการลดการเผา ฝุ่น PM2.5 และการใช้ชีวมวลเพื่อสิ่งแวดล้อม

ข้อเสนอทั้ง 5 ด้านนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศใหม่ของการจัดการฟางข้าว ใบอ้อย และเศษวัสดุเกษตร ให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ลดมลพิษ และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับรากฐานอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้ไขข้างต้นไม่สามารถใช้ได้ผลโดยลำพัง แนวทางการแก้ไขที่จะได้ผลอย่างแท้จริงต้องตอบโจทย์ความจำเป็นของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ (local needs) และเป็นแนวทาง/นวัตกรรมที่ยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง เพราะความแตกต่างของระบบนิเวศเกษตรในแต่ละพื้นที่ และระบบเกษตรที่หลากหลาย ยิ่งกว่านั้นแนวทางการแก้ไขจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ตาราง 1 การใช้ประโยชน์จากชีวมวล: ตัวอย่าง โอกาส ข้อจำกัด และข้อเสนอแนะ

ทางเลือกตัวอย่างประโยชน์ข้อจำกัดสำคัญข้อเสนอแนะ
1. ใช้ในไร่นาของตนเอง
1.1 ไถกลบเศษวัสดุทางการเกษตร(*1)– สับฟางหรือใบอ้อยให้ละเอียด แล้วควบคุมน้ำในแปลงให้อยู่ระดับตื้น จากนั้นไถกลบเศษพืชลงดินลึกประมาณ 10–15 ซม. รักษาความชื้น 2 สัปดาห์เพื่อการย่อยสลายแบบใช้ออกซิเจน เพิ่มอินทรียวัตถุ ลดการใช้ปุ๋ยและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กรณีใช้ร่วมกับจุลินทรีย์ หรือปุ๋ยยูเรีย สามารถเร่งการย่อยสลายให้สั้นลงเหลือเพียง 1 สัปดาห์ – เกษตรกรในพื้นที่ชลประทานภาคกลางที่ปลูกข้าวปีละอย่างน้อยสองครั้งนิยมไถกลบตอซังกันอย่างแพร่หลาย เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านท้องคลอง นครสวรรค์ปานกลางถึงสูง – ในพื้นที่ชลประทานโดยเฉพาะแปลงเกษตรอินทรีย์และพื้นที่เจอปัญหาดินเสื่อมคุณภาพ – ประโยชน์สุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 253 บาท/ไร่ จากการประหยัดปุ๋ยและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น (หลังการหักลบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว เช่น ค่าไถ่กลบ ค่าปรับหน้าดิน ต้นทุนหมักฟาง และอื่นๆ)(1) ข้อจำกัดทางเทคนิค: – ต้องใช้เครื่องจักรใหญ่พร้อมโรตาเวเตอร์และเครื่องสับ แต่พื้นที่อีสานขาดแทรกเตอร์กำลังสูง – ใช้ยากในพื้นที่นาที่ปล่อยร้าง 5–6 เดือน มีวัชพืชและดินแข็ง – กระบวนการไถกลบนาน – ไม่มีข้อบังคับการติดฉลากจุลินทรีย์ย่อยดิน   (2) ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ: – ค่าแรงและค่าน้ำมันสูง – เกษตรกรมีต้นทุนค่าเสียโอกาสจากงานนอกภาคเกษตร – ชาวนามักได้รับผลตอบแทนเป็นสิ่งของแทนเงินสดทันที– สนับสนุนโปรแกรมบริการเครื่องจักร ครบวงจร บนพื้นฐานการช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไขและแรงกดดันทางสังคม – ส่งเสริมการวิจัยประเด็นจุลินทรีย์ ย่อยสลายเพิ่มเติม – แสดงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ผ่านแปลงทดลองตัวอย่าง
1.2 คลุมดิน (*6)– ทิ้งฟาง/ใบอ้อยไว้บนหน้าดินเพื่อรักษาความชื้น กระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน และลดโอกาสการพังทลายของหน้าดินจากฝน – เกษตรกรภายใต้โครงการ “มิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม”  ได้รับการส่งเสริมให้ตัดใบคลุมดินพร้อมกรรมวิธียั่งยืนอื่นๆ ตลอดการเพาะปลูกต่ำถึงปานกลาง – เหมาะกับระบบเกษตรอนุรักษ์ หรือพื้นที่ที่ต้องการรักษาความชื้นในดิน – แต่มีการใช้น้อยในระบบขนาดเล็ก – การตัดอ้อยสด แล้วไว้ใบมีประโยชน์สุทธิที่ไม่ใช่ตัวเงิน (คิดเฉพาะธาตุอาหาร)ถึง 400 บาท/ไร่ข้อจำกัดทางเทคนิค: – อาจส่งผลกระทบต่อการปลูกกรณีใช้เครื่องจักร – เสี่ยงต่อศัตรูพืช และโรคสะสม – อายุฝางสั้น และเสี่ยงเกิดไฟไหม้ กรณีอากาศร้อนและแห้งเกินไป-มีการศึกษาในฟาร์มจริงเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมเทคนิคการคลุมดินที่มีประสิทธิภาพ – แสดงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ผ่านแปลงทดลองตัวอย่าง
2. ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร
2.1 อาหารสัตว์(*4)-ใช้ฟางเพื่อเป็นอาหารสัตว์ในการผลิตปศุสัตว์ โดยเฉพาะวัว -การใช้ยูเรียหรือแอมโมเนียปรับฟางให้ย่อยง่ายขึ้นปานกลาง – เหมาะในพื้นที่ขาดอาหารหยาบและมีปศุสัตว์หนาแน่น เช่น ลพบุรีและภาคใต้(1) ข้อจำกัดทางเทคนิค: – ต้องผ่านการอัดฟางและราดกากน้ำตาลผสมยูเรีย – คุณค่าทางอาหารต่ำ – ฟางข้าวไวแสงแบบพันธุ์พื้นเมืองไม่เหมาะกับโค   (2) ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ: – พื้นที่เลี้ยงโคน้อย – ค่าขนส่งสูง  – พัฒนาวิธีเพิ่มคุณภาพฟาง – สนับสนุนระบบการขนส่งฟาง
2.2 เพาะเห็ด(*3)ใช้ฟางเป็นวัสดุเพาะเห็ดสำหรับการบริโภคสูงในระดับครัวเรือน – มีมูลค่าสูงต่อกิโลฟาง – นิยมในภาคตะวันออก เฉียงเหนือและภาคเหนือ(1) ข้อจำกัดทางเทคนิค: – ต้องควบคุมปัจจัย แวดล้อมอย่างดี อาทิ อุณหภูมิ ความชื้น และการตากแดด – ต้องระวังการใช้สารป้องกันเชื้อรา   (2) ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ: – ตลาดเฉพาะกลุ่ม มีความต้องการใช้ฟางไม่มาก– สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยผ่านการอบรมเทคนิค และให้ความรู้
2.3 ปุ๋ยหมัก อินทรีย์ (*5)– ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จากฟาง/ตอซัง – ผสมยูเรียเพื่อเร่งการย่อยสลายและเพิ่มธาตุอาหารต่ำถึงปานกลาง – คุ้มค่าเฉพาะกรณีมีแรงสนับสนุนหรือกลุ่มเกษตรอินทรีย์ข้อจำกัดทางเทคนิค: – ใช้แรงงานและเวลามาก – ต้องมีความรู้เฉพาะด้านการหมัก – ต้องผสมยูเรีย/แอมโมเนีย– จัดฝึกอบรมหมักปุ๋ยอย่างมีระบบ
3. ใช้ผลิตพลังงานชีวมวล
3.1 ผลิตพลัง งานชีวมวล (*2)– ผลิตไฟฟ้า เชื้อเพลิงอัดแท่ง หรือเอทานอลรุ่นที่สอง โดยใช้ฟาง/ใบอ้อย -โรงไฟฟ้าอุตรดิตถ์ กรีน เพาเวอร์ – โรงไฟฟ้าในโรงงานน้ำตาล ผู้ผลิตเม็ดเชื้อเพลิงรายย่อยต่ำถึงปานกลาง – เงินลงทุนเริ่มต้นและค่าทำนุบำรุงเครื่องจักรต่อปีสูง – กากอ้อยส่วนใหญ่ถูกใช้ผลิตไฟฟ้าแล้ว    (1) ข้อจำกัดด้านเทคนิค: – ขาดแคลนเครื่องอัดฟาง – ค่าพลังงานจากเศษวัสดุบางชนิดต่ำเกินไป   (2) ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ: – ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาขายไฟฟ้า – ค่าขนส่งสูง – การได้มาซึ่งวัตถุดิบตามฤดูกาล – นโยบายพลังงานบิดเบือน (เช่น จำกัดจำนวนโรงไฟฟ้าชีวมวล, ปัญหาเน็ตมิเตอร์ริ่ง, โครงสร้างราคาพลังงานหมุนเวียนไม่เหมาะสม)   (3) ข้อจำกัดด้านสังคม: – ชุมชนและชาวบ้านคัดค้านโรงไฟฟ้า– ศึกษาความเป็นไปได้และตั้งศูนย์โลจิสติกส์ในพื้นที่เหมาะสม – วิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม – สนับสนุนโครงการพลังงานชีวมวลผ่านมาตรการรับซื้อไฟฟ้าและนโยบายพลังงานเสรี – ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์
4. ใช้ผลิตวัสดุก่อสร้าง
4.1 วัสดุก่อ สร้างชีวภาพ จากเศษพืช (*7)-ผลิตแผ่นไม้อัด แผ่นฉนวน ผนังกันเสียง หรือก้อนอิฐจากฟาง/ใบอ้อย – ผลิตภัณฑ์ฉนวนกันความร้อนและดูดซับเสียงสำหรับตกแต่งอาคารและที่อยู่อาศัยจากฟางข้าวและเยื่อกระดาษ (โดย Wasoo)ต่ำถึงปานกลาง – ตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องอาศัย Business Unit ที่พี้อมบูรณาการร่วมกับความรู้ทางสถาปัตยกรรมและศิลปะ – ผลิตภัณฑ์มักถูกใช้ในอาคาร ห้างร้าน หรือโรงแรมที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์การใส่ใจสิ่งแวดล้อม(1) ข้อจำกัดด้านเทคนิค: – ปริมาณซิลิกาสูง ทำให้เครื่องมือสึกเร็วและวัสดุไม่แข็งแรง – ต้องปรับปรุงความทนความชื้นและกันไฟ – ต้องใช้เครื่องจักรเฉพาะทางในการผลิต – ขาดมาตรฐานและการรับรองวัสดุก่อสร้างชีวภาพในไทย   (2) ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ: – ความต้องการต่ำเพราะกังวลเรื่องคุณภาพ – ต้นทุนเริ่มต้นสูง วัสดุใหม่ยังมีความไม่แน่นอน – วัตถุดิบมีจำกัด และแย่งใช้กับอุตสาหกรรมอื่น (พลังงาน, อาหารสัตว์) – ถูกมองว่าต้นทุนสูงกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม– จำเป็นเร่งด่วนต้องศึกษาความเป็นไปได้ของทางเลือกในการจัดการชีวมวลอย่างรอบด้าน เพื่อออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ – สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในด้านการสร้างผลิตภัณฑ์ – เร่งจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์และสนับสนุนงานวิจัย – ส่งเสริมความรู้ผู้บริโภคและพัฒนาตลาด
5. ใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
 ผลิตภัณฑ์ ย่อยสลายได้ (*8)– บรรจุภัณฑ์อาหารย่อยสลายได้ (ธันเดหวาน อินดัสทรี) – จานรักษ์โลก (Gracz) – จานชานอ้อย (Green Day Eco) – แผ่นอัดวัสดุผสมจากเศษพืช (มจธ.) – บรรจุภัณฑ์ Octabagasse (Duni, ยุโรปเหนือ) – ผลิตภัณฑ์ดินและปุ๋ยหมักปลอดพีท (Earth Cycle, สหราชอาณาจักร) – เฟอร์นิเจอร์ไม้ร่วมสมัย (KOYORI – นักออกแบบไทย-ญี่ปุ่น) – อิฐชีวภาพ (ผู้ผลิตในอินเดีย)ต่ำถึงปานกลาง – ตลาดเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความนิยมน้อยในผู้บริโภคทั่วไป – แต่ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของธุรกิจที่ต้องการเสริมสร้างภาพลักษณ์การให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม(1) ข้อจำกัดด้านเทคนิค: – กระบวนการผลิตซับซ้อน – การย่อยสลายไม่สมบูรณ์ เช่น บางผลิตภัณฑ์ต้องใช้ระบบย่อยสลายแบบอุตสาหกรรม – การเก็บและแปรรูปเศษวัสดุมีจำกัด – บางผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้เฉพาะในระบบปุ๋ยหมักอุตสาหกรรม   (2) ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ: – ต้นทุนการผลิตสูงกว่าพลาสติก – ต้นทุนสูงและการเก็บเศษชีวมวลจำกัด เนื่องจาก (ก) แหล่งวัตถุดิบกระจายตัว; (ข) ข้อจำกัดด้านโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐาน – ความต้องการต่ำและผู้บริโภคยังขาดความรู้ – ราคายังแข่งขันไม่ได้กับพลาสติกทั่วไป – ถูกมองว่าคุณภาพต่ำหรือไม่ทนทาน    – จำเป็นเร่งด่วนต้องศึกษาความเป็นไปได้ของทางเลือกในการจัดการชีวมวล เพื่อวางนโยบายที่มีประสิทธิภาพ – ส่งเสริมความรู้ผู้บริโภคและพัฒนาตลาด – ปรับปรุงการเข้าถึงวัตถุดิบ – สนับสนุนการลงทุนด้านวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐาน และโซ่อุปทาน – เร่งจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์

บทความโดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ และกัมพล ปั้นตะกั่ว นักวิจัยทีมนโยบายเกษตรสมัยใหม่ ทีดีอาร์ไอ

หมายเหตุ: ข้อมูล การวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในบทความนี้มาจากงานวิจัยของ TDRI (2025).“Behavioral Study and Policy Design to Promote Sustainable Biomass Management: A Case Study of Rice and Sugar Cane Farmers” สนับสนุนโดย GIZ ภายใต้แผนงาน Thai-German Cooperation on Energy, Mobility and Climate (TGC EMC) และจากการทบทวนวรรณกรรม รวมทั้งสถิติจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ

Source                                       

(1) IRRI (2020); GIZ Thailand (2021)

(2) Mulching: FAO (2013); Jat et al. (2020); https://shorturl.asia/7GzRk

(3) Department of Livestock Development (DLD), Thailand (2016)

(4) Mushroom cultivation and organic composting : FAO Thailand; 2019; FAO (1995) and DOAE (2023)

(5) DOA Thailand (2020)

(6) Biomass energy: DEDE Thailand (2016); PCD (2020); Lauren Maine Santos Menandro et al. (2017); TDRI. (2024). A study and recommendations on the reform of fair energy price structure and power business. October. Prepared for the Association of Private Power Producers; Jantawee & Rojanaridpiched (2017); Mitrphol Group (2024) for Farm and On-farm Water management.

(7) UNEP (2020) for Bio-based building materials; Note that SCG Packaging has explored rice husk-based containers and molded fiber packaging; วิรตี ทะพิงค์แก. (2023) for WASOO วัสดุตกแต่งบ้านจากฟางข้าว ที่ฝันถึงเมืองไทยไร้วัสดุเกษตรเหลือทิ้ง.

(8) Biodegradable products: Yamada Spire (2023); Thai PBS (2025) for Koyori program; KMUTT (King Mongkut’s University of Technology Thonburi) has led R&D on rice straw construction boards; Bioform (Chiang Mai) produces bagasse-based plates and packaging; Gracz Eco-friendly plates (Thailand) (2023); Green Day Eco sugarcane plates (2023); Thantawan Industry PLC (Thailand) (2023) manufactures eco-friendly straws and compostable foodware.

(9) ChatGPT and Gemini for table framework and preliminary information.

Reference

Department of Agricultural Extension (DOAE). (2023). The key to organic fertilizer production without turning the pile [หัวใจสำคัญของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์แบบไม่พลิกกลับกอง]. Retrieved from https://k-station.doae.go.th/?p=2754

Department of Agricultural Extension (DOAE). (2023). การผลิตปุ๋ยอินทรีย์: ทางเลือกจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร. https://esc.doae.go.th/wp-content/uploads/2023/12/การผลิตปุ๋ยอินทรีย์.pdf

Department of Agriculture, Field Crops Research Institute. (2020). Management of rice stubble and straw for post-rice field crop cultivation (in Thai). Retrieved from https://www.doa.go.th/fcri/wp-content/uploads/2020/c/m/m1.pdf

Department of Alternative Energy Development and Efficiency (DEDE), Thailand. (2016). Final Report: Study on the Utilization of Rice Straw, Sugarcane Leaves and Tops, and Maize Stalks for Renewable Energy Production [รายงานฉบับสมบูรณ์ การศึกษาการใช้ชีวมวลฟางข้าว ใบและยอดอ้อย และล าต้นข้าวโพด เพื่อผลิตพลังงานทดแทน]. http://e-lib.dede.go.th/mm-data/BibA11228รายงานฉบับสมบูรณ์.pdf

Department of Livestock Development (DLD), Thailand. (2016). Utilization of rice straw for animal feeding [การใช้ประโยชน์ฟางข้าวสำหรับเลี้ยงสัตว์]. https://nutrition.dld.go.th/nutrition/images/pdf/A3.pdf

FAO. (1995). Manual on Mushroom Cultivation.

FAO. (2019). Crop Residue Use in Southeast Asia.

Food and Agriculture Organization. (1995). Make money by growing mushrooms: FAO diversification booklet No. 7. https://www.fao.org/3/a-v4800e.pdf

Food and Agriculture Organization. (2013). Conservation agriculture: A manual for farmers and extension workers in Africa. https://openknowledge.fao.org/server/api/core/bitstreams/c2ef4bba-a15d-4df2-9326-ed557ab67c92/content

GIZ Thailand. (2021). Straw management helps Thai farmers reduce costs and climate change impacts. Retrieved from https://www.thai-german-cooperation.info/en_US/straw-management-helps-thai-farmers-reduce-costs-and-climate-change-impacts/

Gracz. (2023). Eco-friendly tableware solutions in Thailand. Retrieved from https://www.gracz.co.th/

Green Day Eco. (2023). Sugarcane Plate and Bioplastic Innovations. Retrieved from https://www.greendayeco.com/

International Rice Research Institute. (2022, December 19). Sustainable rice straw management training conducted for Thailand rice industry. https://www.irri.org/news-and-events/news/sustainable-rice-straw-management-training-conducted-thailand-rice-industry

IPCC. (2021). IPCC Sixth Assessment Report, Chapter 7: Agriculture, Forestry, and Other Land Uses (AFOLU).

Jantawee, S., & Rojanaridpiched, C. (2017). Economic feasibility assessment of rice straw utilization for electricity generating through combustion in Thailand. Energy Procedia, 138, 1123–1130. https://doi.org/10.1016/j.egypro.2017.10.320

Jat, R. K., Saharawat, Y. S., & Gupta, R. (2020). Conservation agriculture in South Asia. Current Science, 119(3). https://www.researchgate.net/publication/358473325_Conservation_Agriculture_in_South_Asia

Lauren Maine Santos Menandro, et al. 2017. “Comprehensive assessment of sugarcane straw: implications for biomass and bioenergy production”. Biofuels, Bioproducts and Biorefining. Volume 11, Issue 3 / p. 488-504. https://doi.org/10.1002/bbb.1760.

Mitr Phol Group. (2024). Farm and on-farm water management. from https://sustainability.mitrphol.com/en/environmental/farm-management/

Pollution Control Department (PCD), Thailand. (2020). National Master Plan on Open Burning Control [แผ่นแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง].

TDRI. (2024). A study and recommendations on the reform of fair energy price structure and power business. October. Prepared for the Association of Private Power Producers.

Thai PBS. (2025). Koyori: หลอมรวม สืบสาน งานหัตถศิลป์. Retrieved from https://www.thaipbs.or.th/program/Koyori/season5

Thantawan Industry Public Co., Ltd. (2023). Corporate Sustainability Report. Retrieved from https://www.thantawan.com/

United Nations Environment Programme. (2020). Building materials and the climate: Constructing a new future. https://www.unep.org/resources/report/building-materials-and-climate-constructing-new-future

Yamada Spire. (2023). Bioplastics industry in Thailand: Market intelligence report. https://www.yamada-spire-th.com/wp-content/uploads/2024/12/Bioplastics_Industry-in-Thailand.pdf

เกียรติศักดิ์ กล่ำเอม. (2558). การใช้ประโยชน์ฟางข้าวสำหรับเลี้ยงสัตว์. สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์.

วิรตี ทะพิงค์แก. (2023). WASOO วัสดุตกแต่งบ้านจากฟางข้าว ที่ฝันถึงเมืองไทยไร้วัสดุเกษตรเหลือทิ้ง. เผยแพร่เมื่อ 7 มิถุนายน 2023. จาก https://www.greenery.org/wasoo-brand/


  1. การเผาวัสดุการเกษตร: ความเสียหาย สาเหตุและทางเลือกในการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน มาตรการส่งเสริมการไถกลบ ‘ตอซัง’ ในเขตชลประทาน การลดการเผาสำหรับชาวไร่อ้อยรายเล็ก ↩︎

อ่านชุดบทความในซีรีย์ “หยุดเผาเพื่อเปลี่ยนโลก จัดการชีวมวลอย่างไรให้โลกดี เกษตรกรอยู่ได้”

ตอนที่ 1 การเผาวัสดุการเกษตร: ความเสียหาย สาเหตุและทางเลือกในการจัดการชีวมวลอย่างยั่งยืน

ตอนที่ 2 มาตรการส่งเสริมการไถกลบ ‘ตอซัง’ ในเขตชลประทาน

ตอนที่ 3 การลดการเผาสำหรับชาวไร่อ้อยรายเล็ก

นักวิจัย

ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร
นักวิชาการเกียรติคุณ

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด