เมื่อการจัดสรรเงินทุนไม่ใช่แค่เรื่องของผลตอบแทนทางการเงิน แต่รวมถึงความยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม “Taxonomy” หรือระบบจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม จึงกลายเป็น เครื่องมือสำคัญในการให้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืนในหลายประเทศทั่วโลก
ประเทศไทยเองก็มีการพัฒนา Thailand Taxonomy ขึ้นเช่นกัน เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดย Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 ได้เริ่มพัฒนาในปีพ.ศ. 2564 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2566 ครอบคลุมกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงอย่างภาคพลังงาน และภาคขนส่ง และล่าสุดกับปีนี้กับ Thailand Taxonomy ระยะที่สอง ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 โดยขยายขอบเขตไปสู่กิจกรรมในอีก 4 ภาคกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย
จากระยะที่หนึ่งสู่ระยะที่สอง: บทเรียนและแรงผลักดัน
Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่งครอบคลุมกิจกรรมในภาคพลังงานและขนส่ง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความพร้อมด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่ค่อนข้างชัดเจน การใช้งาน Thailand Taxonomy ในปัจจุบันแม้ยังเป็นไปในลักษณะสมัครใจ แต่ได้นำไปสู่การเริ่มต้นใช้งานจริงในภาคการเงินและภาคธุรกิจมากขึ้น
สำหรับสถาบันการเงิน Taxonomy ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการจำแนกและประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง การใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หรือผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยช่วยในการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุนเพื่อให้สามารถปรับพอร์ตการให้สินเชื่อและการลงทุนให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่มีแนวโน้มรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า และลดโอกาสที่จะต้องเผชิญภาระต้นทุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวในอนาคต
ในภาคธุรกิจ Taxonomy เป็นเครื่องมือช่วยวางแผนการปรับตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เผชิญแรงกดดันจากข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว และความคาดหวังจากนักลงทุน
ผู้ประกอบการสามารถใช้ Taxonomy เพื่อกำหนดทิศทางการลงทุน ปรับกระบวนการผลิต และพัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนผ่าน (transition strategy) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งใช้เป็นฐานในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ Taxonomy ยังเป็นกรอบที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในด้านรายได้และการลงทุน การจัดกลุ่มนี้ไม่เพียงช่วยให้เห็นแนวโน้มการปรับตัวของธุรกิจในแต่ละปี แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารต่อภายนอกผ่านการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนองค์กร ทำให้ผู้ใช้ข้อมูลเห็นแนวโน้ม และแผนการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธรุกิจคาร์บอนต่ำที่ชัดเจนขึ้น
ในขณะที่ภาครัฐสามารถใช้ Taxonomy เป็นเกณฑ์ในการออกแบบนโยบาย และเครื่องมือทางการเงินที่ตรงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้สินเชื่อสีเขียว การกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนการจัดสรรเงินสนับสนุน หรือเงินจากกองทุนที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านภูมิอากาศ เป็นต้น การใช้ Taxonomy ในกระบวนการประเมินโครงการจะช่วยให้การตัดสินใจด้านนโยบายสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และส่งเสริมกิจกรรมที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักลงทุนและผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์จากระบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้มากขึ้น การจำแนกกิจกรรมตาม Taxonomy ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบกิจกรรมหรือบริษัทต่าง ๆ ได้บนพื้นฐานมาตรฐานเดียวกัน ลดโอกาสเกิดพฤติกรรม “ฟอกเขียว” (greenwashing) และสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ
ตัวอย่างการใช้ Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่งในการอ้างอิงเพื่อระดมทุน ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ที่ได้นำเกณฑ์ Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่งมาใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการออก “ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม” (green bond) สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชน MRT การออกตราสารหนี้ของ BEM เป็นหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า Thailand Taxonomy สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้การระดมทุนของภาคโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีความชัดเจนในการจัดกลุ่มกิจกรรมมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน B.Grimm Power เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่งในการจัดประเภทกิจกรรมในการเปิดเผยข้อมูล โดยมีการเปิดเผยข้อมูลสัดส่วนรายได้ (Revenue) การลงทุน (CapEx) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OpEx) ตามนิยามกิจกรรมใน Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่ง ผ่านรายงานความยั่งยืนประจำปี โดยจำแนกเป็นกิจกรรมที่ “สอดคล้อง” และ “เข้าข่าย” ตามหลักเกณฑ์ การเปิดเผยลักษณะนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินโครงสร้างทางธุรกิจในมิติสภาพภูมิอากาศได้ชัดเจนมากขึ้น และเป็นสัญญาณของความตั้งใจในการปรับโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน

สำหรับ Thailand Taxonomy ระยะที่สองที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้น มีตัวอย่างการนำไปใช้จริงในภาคธุรกิจคือกรณีของ Thai Union ซึ่งได้รับการสนับสนุน Blue Loan (สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนทางทะเล) จาก ADB เพื่อสนับสนุนการจัดซื้อกุ้งอย่างยั่งยืน โดยอ้างอิงใบรับรองที่เชื่อมกับ Thailand Taxonomy ระยะที่สอง ภาคเกษตร

ขยายการมีส่วนร่วม และการเชื่อมโยงกับบริบทจริงของภาคเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี การพัฒนา Thailand Taxonomy ระยะที่หนึ่งเผชิญความท้าทายหลายประการที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการออกแบบการพัฒนา Thailand Taxonomy ระยะที่สองอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความไม่ชัดเจนของนิยามบางคำ รายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Thailand Taxonomy ตลอดจนระยะเวลาในการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะที่อาจไม่เพียงพอสำหรับการแสดงความเห็นอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้คำ และภาษาทางเทคนิคที่ไม่ครอบคลุมกลุ่มรับฟังและผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม
บทเรียนจากความท้าทายเหล่านี้ได้นำมาสู่การออกแบบกระบวนการพัฒนา Thailand Taxonomy ในระยะที่สองที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเมื่อภาคเศรษฐกิจที่อยู่ในขอบเขตของระยะที่สองมีความหลากหลายและซับซ้อนสูง เช่น ภาคเกษตรที่ต้องอาศัยความเข้าใจในบริบทเฉพาะถิ่น หรือภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลของประเทศไทยในการจัดทำเกณฑ์แบ่งกิจกรรมร่วมด้วย เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ทำให้ Thailand Taxonomy ระยะที่สองถูกออกแบบให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างและรอบด้านยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความท้าทายของภาคส่วนที่ครอบคลุมขึ้น
Thailand Taxonomy ระยะที่สอง ขยายขอบเขตครอบคลุมกิจกรรมในสี่ภาคส่วนเพิ่มเติม ได้แก่ ภาคภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และภาคการจัดการของเสีย โดยมีกระบวนการพัฒนาร่างที่เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมเสนอข้อคิดเห็น ผ่านการประชุมกลุ่มย่อย การหารือรายภาคส่วน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (public consultation) ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มสามารถเสนอแนะอย่างเปิดกว้าง ข้อเสนอจากเวทีเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมและนำไปใช้ประกอบการออกแบบ และปรับปรุงเกณฑ์การจำแนกกิจกรรม
จากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ทางคณะทำงานได้ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นมามากกว่า 250 ประเด็น โดยประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นคำถามและการขอให้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม ทางคณะทำงานจึงได้มีการปรับปรุงการเขียนในบางส่วนเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้น รวมถึงมุ่งเน้นการทำคู่มือการใช้งาน (Implementation guideline) และการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เพื่อให้ความกระจ่างเพิ่มเติมในการนำไปใช้
ในส่วนข้อเสนอแนะในเชิงเทคนิค ทางคณะทำงานและที่ปรึกษาก็ได้นำประเด็นที่มีการถูกเสนอเข้ามาหารือร่วมกับคณะทำงาน ผู้เชี่ยวชาญ และที่ปรึกษาเพื่อทำการปรับปรุงร่าง Thailand Taxonomy ระยะที่สอง ตัวอย่างเช่น ในภาคเกษตรมีการปรับปรุงการเขียนคำอธิบายกิจกรรม และเพิ่มแนวปฏิบัติตามที่ได้รับข้อเสนอแนะ รวมถึงมีการเพิ่มรายการของใบรับรองที่เข้าเงื่อนไข ในภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์มีการใช้ข้อมูลของประเทศในการพัฒนาเกณฑ์ ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีการเพิ่มเติมรายละเอียดนิยามให้ชัดเจนขึ้น หรือในภาคการจัดการของเสียมีการยกระดับเกณฑ์ให้มีความรัดกุมมากขึ้น เป็นต้น
โดยคณะทำงานมีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะทำงานหลัก และมีบทบาทร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ในการออกแบบกระบวนการมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อเสนอแนะ และให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคเพื่อเชื่อมโยงเกณฑ์ Thailand Taxonomy กับแนวทางสากลโดยไม่ละเลยบริบทภายในประเทศ
ความท้าทายที่ยังต้องขับเคลื่อน
แม้การจัดทำ Thailand Taxonomy ระยะที่สองจะเป็นพัฒนาการเชิงเครื่องมือในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่สำคัญ ที่ช่วยให้การประเมินความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความเป็นระบบมากขึ้น เพราะหากไม่มีมาตรฐานกลางอย่าง Thailand Taxonomy การระบุว่ากิจกรรมใดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอาจมีความท้าทายในการตีความที่ไม่ตรงกัน นอกจากนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทที่พันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศมีความเข้มงวดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่การนำ Taxonomy ไปใช้จริงยังต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ เช่น:
- ความซับซ้อนของเนื้อหา: องค์กรหลายแห่งยังขาดทรัพยากร และความรู้ในการประเมินกิจกรรมตาม taxonomy โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็ก และภาคส่วนที่ยังไม่มีข้อมูลสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบ
- การเชื่อมโยงกับมาตรการภาครัฐ: หาก Thailand Taxonomy ไม่ถูกใช้เป็นฐานของมาตรการสนับสนุน เช่น สินเชื่อภาษีหรือการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึงการให้เงินสนับสนุน ก็อาจไม่สามารถจูงใจให้เกิดการใช้งานจริงในภาคธุรกิจ
- ข้อกังวลด้านความน่าเชื่อถือ: การขาดระบบติดตามและการเปิดเผยข้อมูลที่สม่ำเสมอ อาจเปิดช่องให้เกิดการใช้งานที่มีความเสี่ยงในการเข้าข่าย greenwashing ได้
ทิศทางต่อไป: จากกรอบแนวคิดสู่เครื่องมือใช้งานจริง
Thailand Taxonomy ระยะที่สองจะสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างแท้จริง หากสามารถบูรณาการเข้ากับระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในด้านข้อมูล เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ มาตรการจูงใจ และกลไกการติดตามผล
การวางแผนพัฒนาและปรับปรุง Thailand Taxonomy อย่างต่อเนื่อง (living document) จะช่วยให้เอกสารนี้สามารถตอบสนองต่อบริบทเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และมาตรฐานสากลที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการประเมินประสิทธิภาพของการใช้งานจริง และเปิดรับข้อเสนอแนะจากผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความสามารถในการใช้งานได้อย่างกว้างขวาง
Thailand Taxonomy ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงกรอบนิยามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ควรถูกพัฒนาให้เป็น “เครื่องมือเปลี่ยนผ่าน” ที่เชื่อมโยงภาคธุรกิจ ภาครัฐ สถาบันการเงิน และสังคมไทย ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน
บทความโดยดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ นักวิชาการด้านการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีดีอาร์ไอ
TDRI ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit – GIZ) ในการออกแบบกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงวิเคราะห์ข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาควิชาการ และประชาสังคม เพื่อนำมาปรับปรุงร่างฯ พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ในการให้ข้อคิดเห็นเชิงเทคนิค






