‘สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์’ ชี้ทุกพรรคหากินกับประชานิยม-เร่งแจกแจงต้นทุนหาเสียง

ปี2014-01-08

ทีดีอาร์ไอวิพากษ์ “ประชานิยม” มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย ถือเป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำ จี้ทุกพรรคแจงต้นทุนนโยบายที่ใช้หาเสียง ก่อนเลือกตั้ง 2 ก.พ.

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เผยเเพร่บทความ “เราจะอยู่กับประชานิยมกันอย่างไร ไม่ให้วิกฤติ” ว่านโยบายประชานิยมถือเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้ลดความเหลื่อล้ำในสังคมได้ อย่างไรก็ตาม มีหลายนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่สร้างปัญหา ทั้งไม่มีความยั่งยืนทางการคลัง เป็นการทำลายตลาด รวมไปถึงไม่สร้างความสามารถในการแข่งขัน เราจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิด “นโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ” ได้อย่างไร

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประชานิยมกับเรื่องการกระจายรายได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาก โดยส่วนหนึ่งของนโยบายประชานิยมก็เพื่อช่วยคนจนช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ ปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับประเทศที่กำลังเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะมาพร้อมกับแรงกดดันให้เกิดการกระจายรายได้ นโยบายที่เราเรียกกันว่าประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น จำนำข้าว รถคันแรก 30 บาทรักษาทุกโรค เช็คช่วยชาติ การอุดหนุนราคาพลังงาน ความจริงแล้วไม่ได้เหมือนกันไปทั้งหมด แต่ละนโยบายมีความแตกต่างกัน อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค จะเห็นว่าเป็นนโยบายที่มีความยั่งยืนทางการคลัง รัฐบาลเตรียมเงินไว้ว่าจะต้องใช้ในแต่ละปีต่อหัวคนไข้เท่าไหร่ ไม่ทำลายกลไกตลาด เพราะเป็นการไปสู่ตลาดที่ช่วยคนจนและสร้างความสามารถทำให้คนมีสุขภาพดี แต่นโยบายอย่างเช่น การอุดหนุนราคาพลังงานนั้นไม่ยั่งยืน การตั้งกองทุนพลังงานเพื่อมาอุดหนุนแต่ถ้าเกิดราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นกองทุนพลังงานก็จะเจ๊ง เพราะฉะนั้นนโยบายแบบนี้อยู่ได้ไม่นานไม่ยั่งยืน ทำลายกลไกตลาดและไม่สร้างความสามารถให้ภาคอุตสาหกรรม ให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด เพราะราคาพลังงานบางอย่างมันถูกเกินจริง ส่วนนโยบายจำนำข้าว รถคันแรก เช็คช่วยชาติ ก็ล้วนเป็นนโยบายที่ไม่ยั่งยืนเช่นกัน นโยบายที่ถูกเรียกว่าประชานิยมส่วนใหญ่จึงไม่ได้ช่วยคนจนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามนโยบายดี ๆ ก็ยังมีอยู่ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งทางวิชาการจะเรียกว่าเป็นนโยบายสวัสดิการสังคมมากกว่าจะเรียกว่าเป็นประชานิยม เราจึงไม่ควรเหมาว่านโยบายประชานิยมทุกอย่างแย่ไปหมด เราจึงควรแบ่งว่านโยบายประชานิยมที่ดีก็มี ส่วนนโยบายประชานิยมที่สร้างปัญหา เป็นประชานิยมที่แย่จริงๆ ขอเรียกว่าเป็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบ ประชานิยมที่ดีก็ควรคงไว้ อะไรไม่ดีก็ควรทบทวนให้เลิก และอย่าไปดูว่าเป็นนโยบายที่เริ่มจากรัฐบาลไหนแล้วจะต้องดีหรือแย่ทุกนโยบาย เพราะจะเห็นว่าทุกรัฐบาลมีทั้งนโยบายที่ดีและนโยบายที่ไม่ดี

“ประชานิยมไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย ยกตัวอย่างประสบการณ์ของประเทศในอเมริกาใต้ ซึ่งมีความแตกต่างทางรายได้สูงมาก พอเริ่มเป็นประชาธิปไตยก็เกิดปัญหา เกิดเป็นวัฏจักรประชานิยม ซึ่งประชานิยมพอเริ่มใช้แล้วจะมีลักษณะคล้ายยาสเตอรอยด์ เหมือนยาเสพติดที่เลิกได้ยาก คือ เมื่อมีนโยบายประชานิยมพอใช้ไปนาน ๆ เกิดการใช้เงินไม่ระมัดระวังก็จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในที่สุดก็ต้องรัดเข็มข้ด เมื่อรัดเข็มชัดคนก็เดือดร้อน สุดท้ายผู้นำประชานิยมก็กลับขึ้นมาอีกเมื่อเศรษฐกิจฟื้น มาหาเสียงว่าจะมีนโยบายลดแลกแจกแถมให้ประชาชนมีความสุข แล้วก็กลับไปสู่วัฏจักรประชานิยมอีก”

ดร.สมเกียรติ เสนอแนะทางออกนโยบายประชานิยมระยะกลาง-ระยะยาว โดยระบุว่า 1. ต้องลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยการให้สวัสดิการสังคมที่ดี และการศึกษาที่มีคุณภาพที่จะทำให้คนไม่ต้องรอพึ่งรัฐบาลอยู่ร่ำไป 2. สร้างวินัยทางการคลัง จำกัดการขาดดุลของรัฐ โดยออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 167 และ 3. ควรมีการตั้งสำนักงบประมาณของรัฐสภา ขึ้นมาสนับสนุนรัฐสภาในการพิจารณางบประมาณและให้ข้อมูลแก่สาธารณะ

สำหรับข้อเสนอแนะเฉพาะหน้าหากมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ อยากเห็น 1. เรียกร้องให้ พรรคการเมืองต้องแถลงต้นทุนของนโยบายที่ใช้หาเสียงและแหล่งที่มาของรายได้ด้วยว่านโยบายที่ใช้หาเสียงกันนั้นใช้เงินเท่าไหร่จะเอารายได้จากที่ไหน ไปทำให้นโยบายนั้นเกิดขึ้นได้จริง อย่าให้เหมือนกับนโยบายจำนำข้าวที่จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่าขาดทุนหรือกำไรเท่าไหร่ 2.นักวิชาการควรช่วยกันตรวจสอบต้นทุนของนโยบายพรรคการเมืองใหญ่ที่ใช้หาเสียง


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 7 มกราคม 2557 ในชื่อ “จี้ทุกพรรคหากินกับประชานิยมแจงต้นทุน”