จีดีพีโตต่ำกว่า 4% จับตาว่างงานจะเพิ่มเป็น 1%

ปี2014-03-17

สถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อและยังไร้ข้อยุติ ยิ่งนานวันยิ่งเบียดขับปัญหาอื่นๆของสังคมไทยที่ควรได้รับการแก้ไขให้เลือนรางไร้การเหลียวแล โดยเฉพาะความเดือดร้อน ทุกข์ยากจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของภาคแรงงานไทย

ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้นจากหลายปัจจัยทั้งการส่งออก การบริโภคในประเทศ การลงทุน และการใช้จ่ายของรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล นักเศรษฐศาสตร์มหภาคคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในไตรมาสแรก

และอาจจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นช่วงไตรมาส 2 หากสถานการ์ความขัดแย้งทางการเมืองจบเร็วก็จะไม่มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากไทยยังมีอัตราการว่างงานต่ำและจากโครงสร้างตลาดแรงงานที่ใช้แรงงานระดับล่างมีการใช้แรงงานต่างด้าวเป็นหลักอยู่แล้ว

การผันผวนตลาดแรงงานจะถูกดูดซับแรงงานระดับล่างที่ว่างงานในระดับนี้ได้ ส่วนแรงงานระดับกลางช่างเทคนิคยังผลิตไม่เพียงพอ ปัญหาขาดแคลนเชิงปริมาณน่าจะลดลง แต่ปัญหาด้านคุณภาพคงยังไม่หมดไป เพราะผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีมากเกินความต้องการของตลาด จึงมีการว่างงานสะสมต่อเนื่องโดยภาพรวมปัญหาขาดแคลนแรงงานระดับล่างจะดีขึ้น แต่การว่างงานของแรงงานระดับบนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

มีการคาดการณ์ว่าในปีนี้อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโตได้เพียง 3-4% โดยหลักการแล้ว หากจีดีพีโตต่ำกว่า4% อาจส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1% จากเดิมที่มีประมาณ 0.7-0.8% เท่านั้น

ดังนั้น หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ไปอีก 6 เดือน หรือ 1 ปี ผลกระทบของภาคแรงงานจะปรากฏชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตที่อ่อนไหวคืออุตสาหกรรมและภาคบริการที่เป็นแหล่งดูดซับแรงงานแบบเข้มข้นหลายสาขาโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรับจ้างนำชิ้นส่วนมาประกอบจะถูกกระทบมาก

ยงยุทธ กล่าวว่าปัญหาที่น่าวิตกและคาดว่าจะปรากฏชัดในครึ่งหลังของปี 2557 และปีถัดไป คือผลกระทบจากปัจจัยการเมืองที่จะทำให้นักลงทุนชะลอหรือตัดสินใจไม่ลงทุนใหม่ หรือย้ายการลงทุนไปประเทศอื่นหรือย้ายฐานการผลิตเร็วขึ้น ซึ่งตรงนี้จะมีผลกระทบกับแรงงานมากพอสมควร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนประกอบของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งรองรับแรงงานมากกว่า 3-4 แสนคน

ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะไม่มีผลกระทบมากนักเนื่องจากมีเครือข่ายหรือฐานการผลิตในหลายประเทศและสามารถใช้เครือข่ายทางการตลาดส่งสินค้าไปยังที่ที่มีความต้องการผลผลิตอยู่ ดังนั้น ผลกระทบโดยภาพรวมอาจจะไม่ย่ำแย่อย่างที่คิดกล่าวคือ วิกฤตของอุตสาหกรรมหนึ่งแต่จะเป็นผลดีกับอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากแรงงานสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยง่ายจากอุตสาหกรรมหนึ่งไปอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ยังมีความต้องการแรงงานอยู่มาก

ในส่วนภาคบริการซึ่งดูดซับแรงงานได้หลายสาขา แต่เป็นภาคที่มีความอ่อนไหวมากกับสถานการณ์ความมั่นคงของรัฐบาล จึงถูกกระทบเร็ว และหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ผลกระทบก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ และกระทบต่อแรงงาน

กลุ่มภาคบริการ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอาชีพที่อยู่นอกระบบ ที่มักมาหารายได้เสริมจากงานในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเช่น การค้าขายต่างๆ สปานวดแผนไทย ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะการเคลื่อนย้ายมาทำงานตามฤดูกาลเพื่อเป็นรายได้เสริม

สำหรับสถานการณ์แรงงานปี 2557 โดยภาพรวมจากโครงสร้างการจ้างงานยังคงมีทั้งปัญหาขาดแคลนแรงงาน และปัญหาการว่างงานไม่แตกต่างจากปีที่เพิ่งผ่านมา โดยผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองจะทำให้การเติบโตเศรษฐกิจต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอีต้องปรับตัวมากขึ้นและเร็วขึ้นชะลอการจ้างงานใหม่ จำกัดการจ้างงานใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น กลุ่มแรงงานที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ แรงงานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยเฉพาะระดับปริญญาตรีที่มีปัญหาว่างงานสะสมมาต่อเนื่องทุกปี

อย่างไรก็ตาม ในตลาดแรงงานที่มีความผันผวนสูงและต้องการคนที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ประกอบกับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อเช่นนี้ ผู้ที่ทำงานอยู่ แรงงานรุ่นเก่า อาจจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนนี้อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ความเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน สูญเสียรายได้ ขณะที่แรงงานจบใหม่ก็ต้องเตรียมความพร้อมรับมือด้วยการหาความรู้เพิ่มรอเวลาที่ตลาดแรงงานจะฟื้นตัวไปก่อน หรือถ้าคอยไม่ไหวก็คงต้องผันตัวเองไปสู่อาชีพอิสระมากขึ้น

ปัญหาที่น่าวิตกและคาดว่าจะปรากฏชัดในครึ่งหลังของปี 2557 และปีถัดไป คือผลกระทบจากปัจจัยการเมืองที่จะทำให้นักลงทุนชะลอหรือตัดสินใจไม่ลงทุนใหม่ หรือย้ายการลงทุนไปประเทศอื่น


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 14 มีนาคม 2557