ทีดีอาร์ไอชงปฏิรูปภาษีปูทางสร้างรัฐสวัสดิการ

ปี2014-06-06

นิพนธ์หนุนปฏิรูปโครงสร้างภาษีให้เท่าเทียม สศค. คาดพร้อมประกาศโรดแมปเป็นทางการเร็วๆ นี้

นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับแผนโรดแมป 4 ด้านของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ซึ่งการจะปฏิรูปและเริ่มปูทางถึงการปรับโครงสร้างในระยะต่อไปนั้นจะต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 7% แม้ว่าจะยังไม่สามารถทำได้ทันทีในขณะนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังซบเซาอยู่ก็ตาม

ทั้งนี้ หาก คสช.ไม่ต้องการย้ำนโยบายเศรษฐกิจประชานิยม ก็ควรปูทางไปสู่รัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนแทนซึ่งเรื่องที่ควรทำควบคู่ไปกับรัฐสวัสดิการก็คือการปรับโครงสร้างภาษีให้เท่าเทียมกัน เนื่องจากปัจจุบันคนจนต้องเสียภาษีถึง 37% ในขณะที่คนรวยส่วนใหญ่ทำธุรกิจจึงจ่ายภาษีเพียง 20% และยังมีเงื่อนไขลดภาษีลงอีกจากการลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF

“ถ้าสามารถปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่มและโครงสร้างภาษีให้เท่าเทียมกันได้ แล้วเอาเงินที่ได้มาปูทางสร้างรัฐสวัสดิการทดแทนประชานิยมก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากแล้วแม้ว่าจะไม่สามารถทำเสร็จทันทีในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม แต่การวางโครงไว้เพื่อให้เดินต่อไปก็ถือว่าเริ่มวางฐานได้แล้ว” นายนิพนธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายนิพนธ์ ระบุว่า การประกันพืชผลทางการเกษตรนั้นอาจใช้ไม่ได้ผลกับไทย เนื่องจากใช้ได้กับพืชผลเพียงบางชนิดแต่ไม่ใช่ข้าว ซึ่งไม่ได้ผกผันกับสภาพดินฟ้าอากาศทั้งหมด อีกทั้งยังมีช่องทางให้ทุจริตจากการลงพื้นที่สำรวจและยังใช้งบสูงดังนั้นการจัดทำระบบชดเชยจึงอาจจะเหมาะสมกว่าโดยนำระบบดาวเทียม GIST DA มาช่วยสำรวจพื้นที่เพาะปลูกจริง

ด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)กล่าวว่า เมื่อวันที่5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บริหารกระทรวงการคลังได้เข้าหารือกับ คสช.เพื่อสรุปการจัดทำโรดแมปทางเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าหลังจากนี้คณะที่ปรึกษาของคสช. จะกลั่นกรองสรุปแผน และประกาศโรดแมปอย่างเป็นทางการได้ในไม่ช้า

นายสมชัย กล่าวด้วยว่า คสช.ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเศรษฐกิจให้ความสำคัญกับการป้องกันการคอร์รัปชั่นงบประมาณและได้ตั้งคณะกรรมการใช้งบประมาณภาครัฐซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังต้องการให้เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะหากการใช้เงินงบประมาณอย่างไม่รั่วไหล จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจอย่างเต็มที่


ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 6 มิถุนายน 2557