ปี | 2014-08-18 |
---|
จากแนวคิด “มาตรการโอนเงินภาษีช่วยคนจน” เพื่อคืนความสุขให้กับคนมีรายได้น้อย “ทีมเศรษฐกิจ” ขอนำเสนอ “แนวคิดต่าง” จากนักวิชาการภาคส่วนต่างๆ ซึ่งได้มีการศึกษาเกี่ยวกับ “รายได้ของแรงงานไทย และมาตรการในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย” ดังนี้
ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ก่อนพูดถึง “มาตรการนโยบายคืนภาษีคนจน หรือ Negative Income Tax” ที่เป็นแนวคิดของกระทวงการคลัง ขอทำความเข้าใจข้อเท็จจริงของตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันเสียก่อน
ประการแรก วันนี้โครงสร้างตลาดแรงงานไทยยังขาดแคลนคนทำงาน มีงานให้ทำมากกว่ากำลังแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ไม่ได้อาศัยทักษะ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถทำได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีผู้ว่างงานโดยสมัครใจในระบบแรงงานอยู่ดี ทำให้ประเทศไทยต้องอาศัยแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมากเข้ามาทำงาน นั่นเป็นเพราะคนไทยยังมีตัวเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำงานอะไร
ประการที่สอง โครงสร้างการจูงใจแรงงานของประเทศไทยปัจจุบันก็มีลักษณะลักลั่น ยกตัวอย่างในสหรัฐฯ สำนักงานกองทุนประกันสังคมของสหรัฐฯ จะจ่ายเงินให้เฉพาะแรงงานที่ถูกนายจ้างไล่ออกจากงานเท่านั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่สูญเสียรายได้ไปโดยไม่สมัครใจ
แต่ในประเทศไทย เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ว่างงานของกองทุนประกันสังคม จ่ายเงินง่ายมากคือ ถ้าคุณเป็นผู้ว่างงานก็จะได้รับเงินอุดหนุนส่วนนี้ทันที โดยไม่เกี่ยงว่าแรงงานคนนั้นจะว่างงานแบบเต็มใจ คือลาออกจากงานเอง หรือจะถูกไล่ออกจากงานมา นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันมีผู้ว่างงานโดยสมัครใจมากถึง 70% ของจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมดที่รับเงินช่วยเหลือการว่างงานจากประกันสังคม
เมื่อสถานการณ์แรงงานที่เกิดขึ้น มีทั้งคนที่ว่างงาน เพราะเลือกงาน และมีคนที่เต็มใจว่างงาน แต่ก็ได้รับเงินช่วยเหลือ สังคมจึงควรช่วยกันตัดสินว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังมีความเหมาะสมหรือไม่
เพราะแม้เป้าหมายของมาตรการคืนภาษีคนจน หวังให้เป็นมาตรการจูงใจ กระตุ้นผู้มีรายได้น้อยให้ขยันทำงานมากขึ้น แต่เมื่อนำมาใช้ไม่ตรงจุด ผลลัพธ์อาจกลับข้างกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมให้คนไม่ขยันทำงานได้ เหมือนกับนโยบายแจกเงินอื่นๆ ที่ประเทศไทยเคยทำกันมาแล้วก่อนหน้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เสียภาษีที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีเปอร์เซ็นต์การจ่ายภาษีในระบบสูงที่สุด ต้องมาแบกรับค่าใช้จ่ายจากมาตรการนี้ด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมคนที่ขยันทำงานอยู่แล้วเข้าไปอีก ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ของมาตรการแจกเงินที่เข้าไปบิดเบือนกลไกตลาดแรงงาน
“ประสบการณ์ของประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ เองก็เคยใช้มาตรการแจกเงินคนจนหวังจูงใจให้ขยันทำงานมาแล้ว แต่เป็นการทดลองนโยบายเพียงไม่กี่เมืองในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แล้วก็เลิกไปในภายหลัง เพราะพบว่าไม่ได้ผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้”
อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยต้องการช่วยเหลือคนจนให้ขยันทำงาน อยากให้พิจารณามาตรการของประเทศแคนาดา ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่มีรายได้น้อย ด้วยการนำไปฝึกอบรมทักษะในการทำงานอย่างจริงจัง โดยระหว่างการฝึกอบรม รัฐจะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน และเมื่อจบการอบรม ได้งานที่ดีทำ มีรายได้ดีแล้ว รัฐจึงจะเลิกสนับสนุน เป็นมาตรการช่วยเหลือด้านรายได้ ที่น่าจะตรงจุดมากกว่า “การแจกเงิน”
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และ ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย
“การเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาคนจนดักดานของประเทศ ด้วยการใช้เครดิตภาษี ถือเป็นแนวทางใหม่ที่อาจแก้ปัญหาได้บางส่วน แต่คงต้องใช้ร่วมกับนโยบายอื่นๆด้วย”
เพราะหากพิจารณามาตรการต่างๆในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความพยายามแก้ปัญหานี้มาหลายวิธี ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาโดยใช้กลไกทางเศรษฐกิจ เช่น การแจกคูปองคนจน 2,000 บาท การให้เงินกองทุนหมู่บ้าน การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ เป็นต้น
“แต่มาตรการต่างๆ ข้างต้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ คนจนก็ยังไม่หมดไปจากประเทศ”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ในปี 54 ประเทศไทยมีคนจนดักดาน ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนของประเทศ 8.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 13.2% ของประชากรทั้งประเทศ
โดยมีรายได้เดือนละ 2,400 บาท ปีละไม่ถึง 30,000 บาท ไม่เพียงพอในการทำให้ชีวิตมีคุณภาพ หรือซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต และอาหารดีๆ ส่วนในปี 56 คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9-10 ล้านคน ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงควรได้รับการดูแลให้หลุดพ้นจากความยากจนแบบดักดานไปให้ได้
แนวคิดเครดิตภาษีที่เป็นข้อเสนอทางวิชาการ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลังนั้น จะนำเอาคนยากจนที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 80,000 บาทมาขึ้นทะเบียน และเข้าสู่ระบบฐานภาษีเพื่อให้ได้รับคืนภาษีปีละ 2,000-3,000 บาทต่อคน หากเป็นสามีภรรยา เมื่อรวมกันจะได้ 4,000-6,000 บาท
“สำหรับคนจนแม้เป็นเงินไม่มากนัก แต่อาจเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เช่น นำไปลงทุนค้าขายเล็กๆน้อยๆ นำไปปลดหนี้ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตัดปัญหาว่าจะเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดว่า คนไหน “จนหรือไม่จน” ทำงานจริงหรือไม่ หากจะแก้ปัญหาความยากจนด้วยวิธีนี้จริงๆ ต้องใช้เกณฑ์คนจนดักดานตามสำนักงานสถิติฯ และสศช. ส่วนวิธีการจะเริ่มอย่างไร ก็ต้องลงทะเบียน โดยขอความร่วมมือ อบต. อำเภอ หรือผู้ใหญ่บ้าน สำรวจพื้นที่ว่าคนเหล่านี้คือใคร พร้อมกับเปิดให้ลงทะเบียน และตรวจสอบ จากนั้นก็บันทึกในระบบภาษี เพื่อให้มีโอกาสได้คืนภาษี อาจให้ลงทะเบียนผ่านหมูบ้าน แล้วแจ้งมายังส่วนกลาง
“ที่สำคัญต้องกำหนดช่องทางการจ่ายเงินให้รัดกุม อย่าให้รั่วไหล”
ส่วนเกษตรกร แม้รัฐจะมีวิธีการอื่นช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่หากมีรายได้ต่ำกว่าปีละ 30,000 บาทก็ควรได้รับความช่วยเหลือนี้เช่นกัน เพราะคนรวยรัฐมีการช่วยเหลือด้านรายได้มากมายเช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับการออม ทั้งการซื้อประกันชีวิต การซื้อตราสาร หรือกองทุนหุ้น
อย่างไรก็ตาม การให้เงินช่วยเหลือดังกล่าว คงไม่ใช่ให้แล้วให้เลย รัฐต้องมีระบบการตรวจสอบ และประเมินผลว่า เมื่อคนเหล่านี้ได้เงินช่วยเหลือไปแล้ว นำไปใช้อย่างไร มีการทำงานเป็นหลักแหล่งหรือไม่ รัฐต้องมีกระบวนการทำงานอย่างรัดกุมที่สุด ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่รู้เลยว่าคนเหล่านั้นสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้หรือไม่ มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีแล้วหรือยัง และอาจต้องช่วยเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
“ถ้าแนวคิดนี้ประสบความสำเร็จในอนาคต หากคนเหล่านี้มีโอกาสในชีวิตดีขึ้น มีรายได้ดีขึ้น ก็อาจหลุดจากความยากจนได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับประเทศที่สามารถแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปได้ ช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ลดปัญหาสังคมอื่นๆ และเมื่อคนเหล่านี้มีเงิน ก็จะนำไปซื้อสินค้า ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น หรือหากธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ที่ลงทุนมีผลกำไรมาก ก็อาจเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ทำให้ฐานภาษีเพิ่มมากขึ้น”
“ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ โดยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อภายใน ทดแทนการพึ่งพาต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมาก แม้ในแง่ของตัวเงินที่จะคืนภาษีให้คนเหล่านี้ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่คุ้มค่าก็ตาม”
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การให้เครดิตภาษีไม่ใช่คำตอบเบ็ดเสร็จ หรือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้ หากประเทศไทยจะใช้วิธีการนี้จริง คงต้องดำเนินการควบคู่กับวิธีการอื่นๆ เช่น รัฐอาจต้องช่วยฝึกอาชีพ เพื่อให้คนเหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงรายได้ได้ง่ายขึ้น เพราะคนจนดักดาน ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเข้าถึงอาชีพได้ เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง หางานทำไม่ได้ ก็ต้องช่วยสร้างอาชีพให้ด้วย
“การให้เครดิตภาษี ถือว่าเป็นหลักคิดที่ดี รับได้ แต่ยังขาดการพิสูจน์จากต่างประเทศว่า ประเทศที่ใช้วิธีการนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ สำหรับไทย ขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่การศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น เราอาจมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในการแก้ปัญหาก็ได้ หากจะใช้วิธีการนี้จริง ก็ถือเป็นความท้าทายของไทย แต่ควรมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมให้สังคมรับทราบ และช่วยกันวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อให้ได้วิธีการที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย”
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
“มาตรการโอนเงินภาษีช่วยคนจน” เป็นแนวคิดที่ริเริ่มขึ้นโดย ศาสตราจารย์ มิลตัน ฟรีดแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล หลายประเทศได้นำไปใช้จนประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจน…
ผมเคยนำเสนอแนวคิดนี้ต่อสังคมไทยมาตั้งแต่ปี 2551 และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ศึกษามาตรการนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และจัดทำเป็นข้อเสนอต่อ คสช.ในสัปดาห์ที่ผ่านมา…”
โดยหลักการแล้ว มาตรการนี้เป็นเครื่องมือเอาชนะความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้ โดยการใช้งบประมาณตรงกลุ่มเป้าหมาย และช่วยคนจนให้พึ่งพาตนเองได้ โดยจูงใจให้ทำงานมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การดำเนินมาตรการนี้จำเป็นต้องมีความรอบคอบ ซึ่งในการสัมมนาของ สศค.เมื่อไม่นานนี้ ตนได้เสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอของ สศค.ไว้ 5 ประการดังต่อไปนี้
ประการแรก การศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ แม้ว่า สศค.ได้ศึกษากรณีต่างประเทศถึง 9 ประเทศ แต่เป็นการศึกษาลักษณะที่ปรากฏของมาตรการเท่านั้น ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับการพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังในการออกแบบมาตรการโอนเงินฯ ในต่างประเทศซึ่งมีบริบทแตกต่างจากไทย และยังไม่ได้ศึกษาลงลึกไปถึงปัญหาความผิดพลาด และแนวทางการปรับปรุงมาตรการในแต่ละประเทศ
ประการที่สอง การศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความยากจนในประเทศไทย ข้อเสนอของ สศค.ตั้งอยู่บนความจำกัดของข้อมูล โดยพิจารณาความยากจนในมิติรายได้ และความยากจนรายบุคคลเท่านั้น รวมทั้งมีข้อสมมติว่าความยากจนเกิดจากการใช้เวลาทำงานน้อย ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทความยากจนในประเทศทั้งหมด ผมจึงเสนอว่าควรมีการสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้าง ลักษณะ และพฤติกรรมของคนจนในประเทศไทย เพื่อให้มีความเข้าใจและสามารถช่วยคนจนได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด
ประการที่สาม การระบุตำแหน่งของมาตรการในกลไกแก้ปัญหาความยากจนในภาพรวม ข้อเสนอของ สศค.ยังไม่ได้แสดงให้เห็นภาพทั้งหมดว่า กลไกช่วยเหลือคนจนทั้งระบบมีอะไรบ้าง มีช่องว่างตรงไหน และมาตรการนี้ควรเข้าไปช่วยคนจนกลุ่มใด ควรทดแทนระบบสวัสดิการประเภทใด หรือทำงานร่วมกับระบบสวัสดิการอื่นๆ อย่างไร
ประการที่สี่ การพิจารณาเงื่อนไขมากกว่าเงินได้รายบุคคล สศค.เสนอว่า มาตรการในระยะแรก ควรเป็นมาตรการสำหรับ “รายบุคคล” เพราะคนจนไม่สามารถให้ข้อมูลซับซ้อนได้ แต่เงื่อนไขเช่นนี้อาจทำให้ครัวเรือนยากจนที่มีภาระพึ่งพิงไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ ผมจึงเสนอให้พิจารณาเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย เช่น จำนวนและอายุของบุตร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบจากทะเบียนราษฎรได้ไม่ยาก
ประการสุดท้าย ข้อควรระวังในภาคปฏิบัติ เช่น การกำหนดโทษที่รุนแรงเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงเงินได้เป็นเท็จ อาจทำให้คนจนถูกลงโทษโดยไม่ตั้งใจ เพราะคนจนส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ข้อควรระวังอีกประเด็นหนึ่งคือ โครงการช่วยเหลือคนยากจนมักไปไม่ถึงคนจนที่แท้จริง เพราะไม่รู้ว่าคนจนอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะคนไม่มีบ้านและคนเร่ร่อน และคนจนมักไม่กล้าเข้ามาติดต่อกับทางราชการ
กล่าวโดยสรุปมาตรการโอนเงินฯ มีหลักการที่ดี แต่การดำเนินการในภาคปฏิบัติจำเป็นต้องมีความละเอียดลออในการออกแบบ เพื่อให้การแก้ปัญหาความยากจนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล.
ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 18 สิงหาคม 2557