คำชี้แจงเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอที่ ป.ป.ช. อ้างถึงในสำนวนคดีกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ปี2014-09-10

นิพนธ์  พัวพงศกร

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงว่าคณะทำงานเรื่องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสำนวนคดียังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา หนึ่งในประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ คือการที่ ป.ป.ช. กล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของทีดีอาร์ไอ ว่า “โครงการ (รับจำนำข้าว) ดังกล่าว” มีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนมีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น

ข่าวดังกล่าวสร้างความสับสนและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายรับจำนำข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทำรายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานวิจัยที่ตกเป็นข่าว

ประการแรก รายงานวิจัยฉบับที่ อสส. อ้างถึง ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่ การศึกษาวิจัยโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจำนำข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เจ้าของผลงานวิจัย (ผู้ว่าจ้าง) คือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชื่อรายงานวิจัยคือ “โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต: แสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก” ตีพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม 2553 ท่านผู้สนใจสามารถหาต้นฉบับได้จาก ป.ป.ช. และจากเว็บไชต์ของทีดีอาร์ไอ (www.tdri.or.th/research/d2011003)

ส่วนรายงานอีกฉบับหนึ่งของผมกับเพื่อนนักวิจัย เรื่อง “การทุจริตในการระบายข้าวของโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์” คณะกรรมการตรวจรับของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่งให้ความเห็นต่อเนื้อหาของรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยส่งให้ ป.ป.ช. มีแต่การเปิดเผยบทสรุปผลวิจัยให้สื่อมวลชนบางฉบับเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ สังคมก็เลยเกิดความเข้าใจผิดว่า ป.ป.ช. นำหลักฐานจากรายงานวิจัยฉบับหลังไปกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับแรกที่ ป.ป.ช. กล่าวถึงในสำนวน ไม่ใช่การศึกษาเรื่องการทุจริตโดยตรง แต่เป็นการศึกษาเรื่องความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการคลัง ผลขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคม และผลตอบแทนพิเศษที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง ประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้ คือการแสวงหามาตรการช่วยเหลือชาวนาโดยไม่แทรกแซงตลาด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต มาตรการดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทุจริตที่มีผลมากที่สุด

กรรมการเจ้าของสำนวนคดี (นายวิชา มหาคุณ) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า สาเหตุที่มิได้ส่งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอให้ อสส. เพราะ “รายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่ามีช่องทางการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ไม่ได้หยิบยกรายงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นเอกสารหลักฐานในการชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ถ้าเช่นนั้น สื่อมวลชนบางฉบับ สังคม ตลอดจนอัยการสูงสุด เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอได้อย่างไร

สาเหตุอาจมีหลายประการ ซึ่งรวมทั้งประเด็นการเมืองที่ผมไม่อยากคาดเดา แต่ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากคำบรรยายของนายวิชา มหาคุณ ในการอบรมหลักสูตรนิติเศรษฐศาสตร์ระยะสั้นแก่เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 ว่า “ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ไว้ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าว และการแสวงหาคำตอบของนายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ ตนฟันธงว่า ป.ป.ช. ก็ไม่สามารถที่จะชี้มูลความผิดกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ ดังนั้น มิติทางเศรษฐศาสตร์มีความสำคัญมาก (ต่อการทำงานของ ป.ป.ช.)”

อันที่จริง นายวิชา มหาคุณ ควรยกความดีความชอบนี้ให้แก่นายเมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ในเวลานั้น ป.ป.ช. ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีดีอาร์ไอ ศึกษาเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และลำใย และเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริต

ในเร็วๆ นี้ ผมจะเขียนบทความสรุปผลการวิจัยเรื่องการทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงในสื่อมวลชน แต่วันนี้ผมขออนุญาตทำความเข้าใจล่วงหน้ากับท่านผู้อ่านก่อนว่ารายงานวิจัยฉบับใหม่นี้คงไม่สามารถนำไปใช้ชี้มูลความผิดใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเพียงงานวิชาการที่พยายามแสวงหาหลักฐานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง รูปแบบและพฤติกรรมการทุจริตเป็นอย่างไร และการทุจริตในการระบายข้าวมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่นักวิชาการอย่างผมทำได้ คือการให้ความรู้และข้อเท็จจริงกับสังคมว่าโครงการรับจำนำข้าวมิได้มีแค่ประโยชน์ต่อชาวนาเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมใหญ่หลวงกว่าเม็ดเงินจากผู้เสียภาษีที่นักการเมืองโปรยให้ชาวนาบางส่วน ความเสียหายสำคัญคือการทุจริตของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอำนาจระดับสูง ตลอดจนการนำระบบค้าขายแบบเล่นพวกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดข้าว แล้วใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง

งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการมีเพียงหน้าที่ศึกษาหาต้นตอของการทุจริต เพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเท่านั้น โปรดกรุณาอ้างอิงและใช้ประโยชน์จากงานวิชาการให้ถูกที่ถูกทางด้วยครับ