ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
สืบเนื่องจากประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่จุดเริ่มของการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในปลายปี 2558 ซึ่งเหลือเวลาไม่ถึง 15 เดือน ประเทศสมาชิกอาเซียนมีขนาดของประเทศแตกต่างกันมากจากประเทศสิงคโปร์ที่เล็กที่สุด (714 ตร.กม.) ไปจนถึงประเทศอินโดนีเซียที่มีพื้นที่มากที่สุดประมาณมา 1.86 ล้าน ตร.กม. สำหรับประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 3 มีพื้นที่ 513.12 ตร.กม. ซึ่งมีประชากรอาเซียนรวมกันถึง 604 ล้านคน ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 67.5 ล้านคน (ลำดับที่ 4) ส่วนประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดแน่นอนคือ สิงคโปร์ (5,116 USD) ตามด้วยบรูไน (3,870 USD) มาเลเซีย (9,941 UDS) และไทย (5,116 USD) ความแตกต่างทางฐานะและทางเศรษฐกิจดังกล่าวบ่งชี้ถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน ซึ่งแตกต่างกันไปตามระดับของการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอาเซียน
ตารางที่ 1 กำลังแรงงานและอัตราว่างงานของประเทศต่างในอาเซียน
ประเทศ | กำลังแรงงาน (2553) (พันคน) | จำนวน/อัตราว่างงงาน (ร้อยละ) | ||
บรูไน | 197.9 | (10) | 7,520/3.8 | (4) |
กัมพูชา | 18,989.7 | (6) | 284,845/1.5 | (8) |
อินโดนีเซีย | 114,879.3 | (1) | 7,582,860/6.6 | (2) |
ลาว | 3,074.1 | (8) | 39,963/1.3 | (9) |
มาเลเซีย | 11,996.5 | (7) | 371,892/3.1 | (5) |
ฟิลิปปินส์ | 38,561.8 | (4) | 2,699,326/7.0 | (10) |
สิงคโปร์ | 2,733.1 | (9) | 76,527/2.8 | (6) |
ไทย | 38,949.1 | (3) | 272,644/0.7 | (1) |
เวียดนาม | 46,655 | (2) | 1,035,741/2.2 | (7) |
พม่า | 27,052.9 | (5) | 1,109,169/4.1 | (3) |
อาเซียน (ล้านคน) อัตราว่างงานรวม | 303.1 | 13.484.4 |
ที่มา: รวบรวมและสังเคราะห์โดยผู้เขียน
จากตารางที่ 1 ข้างต้น จะเห็นว่าขนาดของกำลังแรงงานในแต่ละประเทศแตกต่างกันมาก ความสามารถในการดูดซับแรงงานแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ ประเทศสิงคโปร์เปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือระดับสูงเข้าประเทศได้ง่ายตราบใดก็ตามที่ผ่านกระบวนการคัดกรองของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็รับแรงงานฝีมือในระดับกลางในกิจกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้างและภาคบริการจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งประเทศขนาดเล็กอย่างบรูไนเปิดโอกาสให้ผู้มีฝีมือแรงงานเข้าไปทำงานคล้ายกับสิงคโปร์ ถึงแม้ว่าจะมีการว่างงานอยู่ในระดับที่สูง (มากกว่า 2%) แต่ทั้งสองประเทศไม่มีปัญหาในการดูแลประชากรของตนเองซึ่งอยู่ในฐานะร่ำรวยที่สุดในอาเซียน
ประเทศมาเลเซียกับประเทศไทยมีลักษณะคล้ายกันคือ เป็นประเทศมีจำนวนแรงงานย้ายถิ่นเข้าประเทศสุทธิ (Net immigration) เป็นประเทศขาดแคลนแรงงานระดับล่างเหมือนกันโดยประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวระดับล่างทำงานอยู่แล้วประมาณ 3 ล้านคนเศษ มาเลเซียมีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่ประมาณ 4 ล้านคนเศษเช่นกัน จุดที่แตกต่างกันระหว่างไทยกับมาเลเซียคือการนำเข้าแรงงานระดับฝีมือระดับกลางและระดับสูง ซึ่งมาเลเซียนำเข้าเฉพาะแรงงานฝีมือระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ แต่ประเทศไทยนำเข้าแรงงานฝีมือระดับกลาง (เทคนิเซียน) และระดับผู้บริหารนักวิชาการและนักกฎหมาย เป็นต้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มาเลเซียมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าไทย มีกำลังแรงงานน้อยกว่าไทย 3 เท่า ซึ่งแน่นอนทำให้มีแรงงานไทยไปทำงานในมาเลเซียในพื้นที่รัฐที่ไม่ไกลจากชายแดนไทยเป็นจำนวนมากกว่า 4 แสนคน ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรและภาคบริการ (อาทิ ร้านอาหารเมนูไทย ฯลฯ) สำหรับประเทศไทยเมื่อรวมตัวเป็นประเทศอาเซียนแล้วในปลายปีหน้า (2558) ยังไม่ต้องห่วงมากนักเกี่ยวกับ 7 วิชาชีพที่ได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้คือ แพทย์ ทันตแพทย์ วิศวกรรม ช่างสำรวจ สถาปนิก พยาบาล และวิชาชีพบัญชี ซึ่งทุกกลุ่มจะมีสภาวิชาชีพดูแลอยู่แล้วตามกติกาเมื่อเริ่มเคลื่อนย้ายบุคลากรเสรีปลายปีหน้าทุกประเทศที่สนใจที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายและกฎระเบียบในการประกอบวิชาชีพเหล่านี้ในประเทศไทยอยู่ดีขณะเดียวกันแรงงานฝีมือของไทยปกติไปทำงานในประเทศที่มีค่าแรงสูงกว่าประเทศไทยคือประเทศสิงคโปร์เป็นหลักแต่สำหรับผู้ทีไปทำงานที่มาเลเซียอาจจะมีค่าจ้างไม่สูงเท่าสิงโปร์แต่ที่เดินทางไปทำงานส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีปัญหาด้านการปรับตัวแต่ยังมีปัญหาข้อจำกัดของตลาดแรงงานในภาคใต้ประเทศไทย
ที่จริงแล้ว ถ้าประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรในหลายสาขา อาทิ สาขาด้านที่เกี่ยวข้องกับช่างเทคนิคหรือช่างฝีมือชั้นสูง ทุกวันนี้มีแรงงานจากต่างประเทศทำงานอยู่ในประเทศไทยนับหมื่นคนอยู่แล้วภายใต้กรอบกติกาการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยหรือในกรณีที่ขาดแคลนบุคลากรด้านการศึกษาและ/หรือการวิจัยก็สามารถนำเข้าและขอใบอนุญาตทำงานได้อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีบุคลากรจากต่างประเทศทำงานในภาคการศึกษานับหมื่นคน
สิ่งที่น่าห่วงคงเป็นอาชีพอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้ทำข้อตกลงกับประเทศในกลุ่ม 10 ประเทศไปแล้วคือ ได้มีการลงนามตามกรอบความร่วมมือแห่งอาเซียนใน 6 สาขาอาชีพ (32 ตำแหน่งงาน) ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยว (MRA-Tourism Professional (TP)) ซึ่งประกอบด้วย ด้านบริการโรงแรม (Hotel Services) มีแผนกต้อนรับ แผนกแม่บ้าน แผนกอาหาร แผนกอาหารและเครื่องดื่ม ด้านการเดินทาง (Travel Services) งานบริษัททัวร์ และตัวแทนท่องเที่ยว ซึ่งมีคนทำงานอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวในอาเซียนมากกว่า 25 ล้านคน
ตารางที่ 2 งานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มอาเซียน
ประเทศ | จำนวน (ล้านคน) | สัดส่วน (ร้อยละ) | สถานภาพตลาดแรงงาน |
บรูไน | 0.013 | 0.05 | – |
กัมพูชา | 1.805 | 7.08 | ส่วนเกิน |
อินโดนีเซีย | 8.909 | 34.95 | ส่วนเกินมาก |
ลาว | 0.433 | 1.70 | ส่วนเกิน |
มาเลเซีย | 1.708 | 6.70 | ขาดแคลนบางสาขา |
ฟิลิปปินส์ | 0.711 | 2.79 | ส่วนเกิน |
สิงคโปร์ | 2.911 | 11.42 | ส่วนเกิน |
ไทย | 0.291 | 1.14 | ขาดแคลนมาก |
เวียดนาม | 4.818 | 18.90 | ส่วนเกินมาก |
พม่า | 3.892 | 15.27 | ส่วนเกินมาก |
อาเซียน (ล้านคน) | 25.494 |
|
ที่มา: รวบรวมและสังเคราะห์โดยผู้เขียน
จากตารางที่ 2 ข้างต้นจะเห็นว่าประเทศไทยมีแรงงานทำงานเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมากกว่า 4.8 ล้านคนจากจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 24 ล้านคน (ข้อมูลปี 2556) กระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวของไทยทั่วประเทศ ซึ่งบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทยยังมีจุดอ่อนที่สำคัญคือ ด้านภาษาต่างประเทศและความสนใจในอาชีพด้านการท่องเที่ยวถ้าจะเทียบกับประเทศที่มีแรงงานส่วนเกินจำนวนมาก และมีประสบการณ์อยู่ในกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และพม่า ซึ่งประเทศเหล่านี้มีแรงงานระดับล่างทำงานอยู่ในประเทศอาเซียนอยู่แล้ว อาทิ แรงงานอินโดนิเซีย พม่าและ ไทยทำงานอยู่ในประเทศมาเลเซียรวมหลายล้านคน รวมทั้งบางอาชีพในประเทศสิงคโปร์ ขณะที่แรงงานเวียดนามทำงานอยู่ในประเทศมาเลเซียอยู่หลายแสนคนและมีบางส่วนลักลอบทำงานอยู่ในประเทศไทยในภาคบริการเป็นส่วนใหญ่มากกว่า 5 หมื่นคน ขณะที่แรงงานพม่าทำงานที่ประเทศไทยมากกว่า 1 ล้านคน และทำงานอยู่ในมาเลเซียหลายแสนคน อย่างไรก็ตาม แรงงานย้ายถิ่นเหล่านี้ทำงานอยู่ในประเทศอาเซียนบางส่วนถูกกฎหมายบางส่วนผิดกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่ามีจำนวนมากที่ลักลอบทำงานอยู่ในภาคบริการโดยเฉพาะภัตตาคาร ร้านอาหาร และกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
ประเด็นที่สำคัญมีบางประเทศในอาเซียน อาทิ ประเทศฟิลิปปินส์มีความพร้อมเป็นอย่างมากที่จะเข้ามาทำงานในสาขาบริการไม่ว่าจะเป็นงานด้านการต้อนรับ งานนักร้อง งานแม่บ้าน งานด้านบริหาร เป็นต้น ซึ่งอาศัยความได้เปรียบด้านภาษาอังกฤษ และเป็นภาษากลางของอาเซียน และความมุ่งมั่นในการทำงานในต่างประเทศมากกว่าหลายประเทศในอาเซียน อีกประเทศที่น่าจับตามากที่สุดคือ แรงงานจากประเทศเวียดนามมีการเตรียมพร้อมเรียนภาษาอังกฤษในหลักสูตรเป็นปีๆ และบางส่วนยังเรียนภาษาไทยอีกด้วย กอรปกับประเทศสังคมนิยมเวียดนามมีจำนวนแรงงานมาก มีค่าแรงที่ต่ำกว่าประเทศไทยมาก จึงมีโอกาสเข้ามาแย่งงานที่คนไทยเกี่ยงกันทำในหลายตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยขาดแคลนแรงงานทั้งระดับฝีมือและกึ่งฝีมือ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการจัดการเรียนการสอน มีผู้จบการศึกษาเกี่ยวกับสาขาการท่องเที่ยวในระดับประกาศนียบัตรจนถีงระดับปริญญาตรีจำนวนมากก็จริง แต่ส่วนใหญ่ไม่สนใจทำงานในภาคบริการโดยเฉพาะการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพราะบางคนที่จบคิดเลยเถิดว่าเป็นงานที่ หนัก ต่ำต้อย ไร้ศักดิ์ศรี และไม่มีอนาคต
กล่าวโดยสรุปคือ ประเทศไทยอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากขาดความพร้อมของบุคลากร โดยเฉพาะด้านภาษาอังกฤษและภาษาประเทศต่างๆ ในอาเซียน รวมทั้งภาษาอื่นๆ จากนักท่องเที่ยวนอกอาเซียน อีกทั้งผู้จบการศึกษาเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวคิดแต่เพียงว่าเรียนอะไรก็ได้จบง่ายๆ แต่เมื่อจบแล้ว “เสียของ” ไม่สนใจทำงานในสาขาเกี่ยวกับท่องเที่ยว ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่มีความมุ่งมั่น (Commitment) ที่จะเร่งพัฒนาบุคลากรเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในที่สุดประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการรวมตัวเป็นประเทศอาเซียนไม่มากดังที่คาดหวังไว้ แต่อาจเสียเปรียบประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในอาเซียน ซึ่งมีความพร้อมกว่าประเทศไทยดังที่ได้กล่าวมา การเร่งจัดทำมาตรฐานสมรรถนะและทดสอบสมรรถนะให้กับแรงงานไทยที่ทำงานและที่คาดว่าจะเข้ามาทำงาน จะทำให้แรงงานไทยมีความพร้อมที่จะแข่งขันได้กับทุกฝ่ายที่จ้องจะแย่ง 32 ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพท่องเที่ยว โดยเฉพาะในประเทศไทย