สู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ความท้าทายและโอกาสของไทยในสามทศวรรษหน้า

ปี2014-11-25

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และนณริฏ พิศลยบุตร
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อทำให้รัฐบาล ธุรกิจ และประชาชนไทยสนใจเฉพาะปัญหาระยะสั้นมากกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้พ้น “กับดักรายได้ปานกลาง” การปฏิรูปการศึกษา และการรักษาสิ่งแวดล้อม ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2025 และในอีก 30 ปี ไทยจะมีคนสูงอายุถึง 36% หากไม่สามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ ปานกลางได้ทัน ไทยจะกลายเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่ “แก่ก่อนรวย” และ “แก่โดยไม่มีสวัสดิการเพียงพอ” เพราะกองทุนประกันสังคม จะมีปัญหาจนถึงขั้นล้มละลายในประมาณ ปี 2045 หากไม่มีการปฏิรูปอย่างทันการณ์

ที่ผ่านมา ไทยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมโดยไม่พัฒนาเทคโนโลยี เน้นส่งออกไปยังตลาดโลกโดยกดค่าแรงให้ต่ำเพื่อให้แข่งขันได้และไม่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอการพัฒนาจึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและปัญหาสิ่งแวดล้อมมากในอนาคต ไทยจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับไปสู่ยุทธศาสตร์พัฒนาใหม่ที่เน้นสร้าง มูลค่าเพิ่มบนฐานนวัตกรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เพื่อให้เห็นถึงภาพอนาคตเศรษฐกิจไทย ใน 3 ทศวรรษหน้าและความท้าทายต่างๆ บทความนี้จะยกตัวอย่างภาพสถานการณ์ที่ เป็นไปได้ (possible scenario) 3 ภาพคือ

ภาพสถานการณ์ 1 “ประเทศไทย ไปเรื่อยๆ”

การพัฒนาในภาพสถานการณ์นี้คล้ายกับแนวทางในปัจจุบัน แต่อัตราการเติบโตเฉลี่ยจะลดลงเหลือ 3.55% ต่อปี ซึ่งทำให้คนไทยมีรายได้ต่อหัว 17,000 ดอลลาร์ในปี 2045 และหลุดพ้นจากระดับรายได้ปานกลางในปี 2036 หรือหลังจากเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์กว่าทศวรรษ

ไทยจะมีแรงงานในระบบเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในปี 2045 และในปีนั้นดัชนีความเหลื่อมล้ำ (Gini coefficient) จะอยู่ที่ระดับ 0.37 ซึ่งต่ำกว่า ปัจจุบันเล็กน้อยจากแรงกดดันให้มีการกระจาย รายได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประเทศในแนวทางเดิมจะทำให้ไทยมีปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อไปนอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าไทยจะพ้นระดับรายได้ ปานกลางในปี 2036 นั้นยังมองโลกแง่ดีเกินไป เพราะไม่ได้พิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกอย่างรุนแรง การเปลี่ยนผ่านจะล่าช้าออกไป 2 ปี หากรัฐบาลดำเนินนโยบายประชานิยม โดยใช้เงินปีละ 1 แสน ล้านบาท จะทำให้เปลี่ยนผ่านล่าช้าออกไป 4 ปี หากเกิดวิกฤติอัตราแลกเปลี่ยน หรือวิกฤติธนาคาร การเปลี่ยนผ่านจะล่าช้าออกไป 2 ปีและ 4 ปีตามลำดับและหากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองการเปลี่ยนผ่านก็จะล่าช้าออกไปอีก ดังนั้น ในกรณีที่การบริหารความเสี่ยงผิดพลาด ไทยจะไม่พ้นจากกับดัก ประเทศรายได้ปานกลางแม้ใน 3 ทศวรรษหน้า

ภาพสถานการณ์ 2 สู่ “ประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า”

เศรษฐกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนจากการ ยกระดับผลิตภาพในภาคอุตสาหกรรมจากการ นำเอาระบบการผลิตแบบลีนมาใช้อย่างกว้างขวาง การทำ R&D การออกแบบและพัฒนาแบรนด์สินค้าตลอดจนการย้ายการผลิตมูลค่าเพิ่มต่ำ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

คนไทยจะมีรายได้ต่อหัว 23,700 ดอลลาร์ในปี 2045 จากอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.6% ต่อปี ซึ่งทำให้พ้นระดับรายได้ปานกลางในปี 2028 หรือหลังจากเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์เล็กน้อย อุตสาหกรรมจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็น 64% ของ GDP และมีแรงงานในระบบเพิ่มเป็น 67% อย่างไรก็ตาม การเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมจะทำให้มีปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขึ้น เพราะประโยชน์ตกอยู่กับเจ้าของทุน

ในภาพนี้ รัฐบาลต้องมีนโยบายที่เหมาะสม เช่น เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีคุณภาพสูงพัฒนาวิศวกรและช่างเทคนิครณรงค์ให้ ภาคเอกชนเพิ่มผลิตภาพและสร้างนวัตกรรม ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลไม่ควรดึงดูดแรงงานต่างด้าวทักษะต่ำเข้ามาในไทยเพราะจะทำให้อุตสาหกรรมพึ่งพาแรงงานราคาถูกต่อไป

ภาพสถานการณ์ 3 สู่ “ประเทศเกษตรทันสมัยและบริการฐานความรู้”

การพัฒนาเศรษฐกิจไทยจะเน้นการพัฒนาภาคเกษตรดั้งเดิมให้เป็นภาคเกษตรทันสมัย โดยใช้เครื่องจักร เทคโนโลยี ทำวิจัยและพัฒนา บริหารการผลิตรองรับการผลิตอาหารปลอดภัย และการพัฒนาภาคบริการให้เป็นบริการฐานความรู้โดยเปิดเสรีภาคบริการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาแรงงาน ให้มีทักษะทั่วไปที่มีคุณภาพสูง

รายได้ต่อหัวของคนไทยในปี 2045 จะสูงขึ้นถึง 28,400 ดอลลาร์โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5.2% ต่อปีทำให้ไทยพ้นระดับรายได้ ปานกลางในปี 2028 ภาคบริการมีมูลค่าเพิ่มเป็น 59.3% ของ GDP โดยเป็นบริการฐานความรู้ 30.8% ในขณะที่ภาคเกษตรเล็กลงเหลือ 3.8% ของ GDP ในภาพนี้ ดัชนีความเหลื่อมล้ำจะ ลดลงเหลือ 0.33 เนื่องจากรายได้ของแรงงานเพิ่มขึ้นและจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดลง เนื่องจากใช้พลังงานต่ำกว่าอุตสาหกรรม

ในภาพนี้ รัฐบาลจะต้องไม่มีนโยบายอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรมากจนเกษตรกร มุ่งผลิตสินค้าในเชิงปริมาณโดยไม่สนใจคุณภาพ และต้องไม่คุ้มครองบริการที่ผูกขาดซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนสูงต่อเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทยในปี 2045 ใน 3 ภาพสถานการณ์ (ดูตารางประกอบ) จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศเกษตรทันสมัยและบริการฐานความรู้ น่าจะเป็นภาพที่พึงปรารถนาที่สุดเพราะจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงสุด ซึ่งทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางในปี 2028 หลังจาก เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ไม่กี่ปีขณะที่ มีความเหลื่อมล้ำและสร้างผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน ซึ่งมีสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมใน GDP ในระดับสูงจะทำให้การเปลี่ยนสู่ภาพสถานการณ์ที่ 2 ง่ายกว่าในระยะสั้น ดังนั้น ภาพที่น่าจะเกิดขึ้นคือส่วนผสมของภาพสถานการณ์ที่ 2 และ 3 โดยมีจุดเชื่อมที่สำคัญ คือการพัฒนาบริการธุรกิจที่รองรับอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปซึ่งจะเชื่อมต่อระหว่างภาคเศรษฐกิจทั้งสาม

การเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่พึงปรารถนาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปัจจัย 4 ด้านเกิดขึ้นคือมีทุนมนุษย์คุณภาพสูง การจัดสรรเงินทุนก่อให้เกิดผลิตภาพรัฐ มีประสิทธิภาพและระบบเศรษฐกิจเปิดกว้าง
โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจะทำให้สังคมไทยในอนาคตมีความหลากหลาย และซับซ้อนกว่าปัจจุบันมาก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะผลประโยชน์ ความเชื่อ และคุณค่าของ คนแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันมากขึ้น การป้องกัน และระงับความขัดแย้งจากการเปลี่ยนผ่านจะเกิดขึ้นไม่ได้หากรัฐที่ควรเป็นผู้ป้องกันและระงับความขัดแย้ง มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจ บริหารอย่างแยกส่วน ไม่เปิดกว้าง และไร้วินัย

การเปลี่ยนผ่านจะเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น จึงจำเป็นต้องมีภาครัฐที่เปิดกว้าง มีวินัยและกระจายอำนาจ ขณะที่ยังสามารถประสานนโยบายภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนผ่านของไทยในอีก 3 ทศวรรษคือ การปฏิรูปภาครัฐ

งานสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอ ประจำปี 2557 เรื่อง “ประเทศไทยในสามทศวรรษหน้า : สี่ความท้าทายเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ” มีขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยทีดีอาร์ไอขอเชิญชวนผู้สนใจติดตาม การถ่ายทอดสดการสัมมนาได้ที่ www.tdri.or.th และร่วมสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นได้ทาง www.facebook.com/tdri.thailand และ Twitter: @tdri_thailand

 

—————————-

ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2557