ผวา ศก. ฟื้นยาก ส่งออกลด หนี้สูง การเงินโลกป่วน

ปี2015-02-03

“ทีดีอาร์ไอ” คาดเศรษฐกิจไทยปี 58 ฟื้นตัวได้ยาก ทั้งการส่งออกและการบริโภคในประเทศยังไม่มีวี่แววจะดีขึ้น ด้าน “เวิลด์แบงก์” คาดการณ์ “จีดีพี” ของไทยปีนี้เติบโตได้ 3.5% หวั่นตลาดเงินโลกผันผวนและอาจเกิดภาวะเงินฝืด ขณะที่ “สมหมาย” รับเหตุบอมบ์กลางกรุงกระทบเศรษฐกิจแบบปฏิเสธไม่ได้ วอนฝ่ายความมั่นคงเร่งตรวจสอบ หวังช่วยเรียกความเชื่อมั่น

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนายั่งยืน ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2015 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน เพราะปัจจัยในประเทศยังกดดัน แม้ว่าราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมามาก แต่มีผลต่อการบริโภคในประเทศน้อย เนื่องจากไทยยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีข้างหน้า ประกอบกับหนี้สินส่วนบุคคลสูง และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงทำให้ภาคหลักของไทยคือเกษตรกร ยังไม่มีกำลังซื้อและมีปัญหาในการชำระหนี้

“ขณะที่รัฐบาลยังไม่กล้าออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เพราะกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะที่อาจจะสูงขึ้น ทำได้เพียงกระตุ้นการลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งหวังว่าโครงการเหล่านี้จะเป็นไปตามแผน แต่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามากกว่า ดังนั้นเศรษฐกิจในปีนี้ยังคาดหวังได้ยาก ประกอบกับการส่งออกของไทยที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักลดลง มีปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากผลิตสินค้าที่ล้าสมัยไม่เป็นที่นิยมของต่างประเทศ ทั้งนี้ หากจะแก้ไขปัญหาจะต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นการลงทุนดังกล่าว” นายสมชัยกล่าว

ขณะที่ นายอาญาน โคส ผู้อำนวยการกลุ่มแนวโน้มพัฒนาการเศรษฐกิจโลก กลุ่มธนาคารโลก กล่าวว่า ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก คาดการณ์จีดีพีเศรษฐกิจไทยปี 2558 ว่าเติบโต 3.5% สูงกว่าปีก่อนที่เติบโตเพียงร้อยละ 0.5 ขณะที่เศรษฐกิจโลกคาดว่าขยายตัวได้ร้อยละ 3 สูงกว่าในปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 2.3% ขณะที่ปีนี้คาดการณ์เศรษฐกิจโลก ส่วนปี 2559 ขยายตัว 3.3% โดยแม้เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น แต่มีความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แตกต่าง ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินแตกต่างกันมาก โดยสหรัฐอเมริกาที่มีเศรษฐกิจขยายตัวดี จะปรับขึ้นดอกเบี้ย แตกต่างจากยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หรือคิวอี ดอกเบี้ยต่ำ ส่วนจีนเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งความแตกต่างด้านเศรษฐกิจนี้ จะส่งผลให้ตลาดเงินยังมีความผันผวนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวและอาจเกิดภาวะเงินฝืด

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกที่น่าจับตามมองคือ การค้าโลกที่ยังอ่อนแอ โดยเฉพาะจากประเทศผู้ค้าน้ำมัน และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ธนาคารโลกคาดว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงถึงร้อยละ 40 ส่งผลดีต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ควรใช้โอกาสที่น้ำมันลดลงปฏิรูป และลดการอุดหนุนราคาพลังงาน ส่งเสริมสวัสดิการสังคมต่างๆ แทน ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่ถูกผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลง ทำให้เศรษฐกิจประเทศเหล่านี้แย่ลง ควรจะกระจายแหล่งรายได้ทางเศรษฐกิจทั้งในระยะกลางและระยะยาว จากเดิมที่เคยพึ่งพารายได้จากน้ำมันมากเกินไป

ด้านนายสมหมาย ภาษี รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ ย่านใจกลางเมืองว่า เป็นสถานที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ ถือว่ากระทบกับเศรษฐกิจของไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าจะมากหรือน้อยยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากหลังเกิดระเบิดก็มีปล่อยข่าวลือ เช่น ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็กล่าวหาว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อคงกฎอัยการศึก ก็ต้องให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบว่าการระเบิดเกิดจากอะไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ไม่มีการตีความไปต่างๆ กัน

สำหรับเงินเฟ้อเดือน ม.ค.2558 ที่ขยายตัวติดลบนั้น ยืนยันว่ายังไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินเฟ้อติดลบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินฝืด เพราะเงินเฟ้อเป็นบวกก็เข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ โดยเงินเฟ้อที่ขยายตัวติดลบมีสาเหตุมาจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมาราคาสินค้าแพง รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ แก้ไขจนราคาสินค้าปรับลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.2558 ติดลบ ถือเป็นเรื่องชั่วคราวระยะสั้นเท่านั้น
“ขณะนี้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก การเบิกจ่ายของภาครัฐออกสู่ระบบได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการขยายตัวเศรษฐกิจในปีนี้” นายสมหมายกล่าว

นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (3 ก.พ.) กระทรวงการคลังจะรายงานการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2558 และงบเหลื่อมปี ล่าสุดถึงสิ้นเดือน ม.ค.2558 ให้ ครม.รับทราบ

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือแอตตา ให้ความเห็นกรณีเกิดเหตุระเบิดที่ห้างพารากอนว่า ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีของธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งตรวจสอบหาสาเหตุว่าเกิดจากปัญหาใด และควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสอง เพราะจะกระทบกับความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายศิษฎิวัชรกล่าวว่า ขณะนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดจีนได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หากรัฐบาลไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ ก็จะกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ใกล้จะมาถึง พร้อมกันนี้ได้แนะนำให้รัฐบาลติดกล้องซีซีทีวีในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ และเมืองที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวจำนวนมาก เพื่อช่วยสอดส่องดูแลให้เกิดความปลอดภัย หากรัฐบาลเข้ามาดูแลอย่างจริงจังก็เชื่อมั่นว่ายอดการท่องเที่ยวในปีนี้ที่ตั้งไว้ 27.8 ล้านคน จะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน

ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอมรับว่า ในระยะสั้นอาจทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตระหนกบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะยาว ซึ่งกระทรวงได้ส่งทีมงานเฉพาะกิจประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาข้อเท็จจริง พร้อมให้ ททท.เร่งชี้แจงต่างประเทศอย่างเร่งด่วน.

——————–

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ในชื่อ “คาดศก.ฟื้นยาก ส่งออกลดหนี้สูง ผวาเงินโลกป่วน”