tdri logo
tdri logo
21 กรกฎาคม 2016
Read in Minutes

Views

ดร.วรวรรณ เสนอ ‘กลไกกลาง’ ลดเหลื่อมล้ำ3กองทุนสุขภาพภาครัฐ

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ปัญหาของโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ที่ดำเนินมากว่า 10 ปี พบว่ายังมีเหลื่อมล้ำกับกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม จึงได้เสนอให้มี “กลไกกลาง” ลดปัญหาดังกล่าว

-มองบัตรทองที่ใช้มากว่า 10 ปี

เรามาถูกทางแล้ว ในแง่ที่ว่าเป็นการให้สวัสดิการคนไทยทุกคน ทำให้มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยบัตรทองนี้ทำให้คนไทยเข้าถึงระบบสาธารณสุขมากขึ้นถึงร้อยละ 99 แต่ก็ยังพบความแตกต่างระหว่าง 3 กองทุนสุขภาพของภาครัฐ ซึ่งต้องแก้ไข โดยเฉพาะ

1.เรื่องความเหลื่อมล้ำในสวัสดิการ 3 กองทุน ที่เห็นชัดเจน แม้ผู้ป่วยบัตรทองจะเข้าถึงการรักษาได้ แต่ก็ยังมีข้อเปรียบเทียบ ไปโรงพยาบาลต้องเข้าแถวอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนประกันสังคมหรือสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

2.การบริหารจัดการ ในการปฏิรูปเมื่อปี 2544-2545 มีปฏิรูป 2 เรื่องใหญ่ คือ การเงินการคลัง ที่เปลี่ยนแปลงไป และการบริหารจัดการ ที่แยกระหว่าง “ผู้ซื้อ” กับ “ผู้ขาย” จะเห็นว่าปีแรกงบประมาณเพิ่มขึ้นนิดเดียว แต่ทำให้คนเข้าถึงระบบสวัสดิการได้มาก เห็นชัดเจนทันทีที่เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่ในส่วนการของการบริหารจัดการนี้ เมื่อแยกผู้ซื้อกับผู้ขายกลับพบว่าต่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีกองทุนรักษาพยาบาล เพราะผู้ที่ให้บริการกลับเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำนโยบายสุขภาพด้วย ซึ่งหลายประเทศไม่ทำกัน เพื่อลดความขัดแย้ง

-กองทุนสุขภาพในต่างประเทศเขาใช้วิธีใด

ต่างประเทศแยกระหว่างคนทำนโยบาย ที่ต้องอยู่เหนือผู้เล่น เพื่อคุมกติกาให้เป็นกลาง แต่บทบาทของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้ให้บริการ เพราะมีโรงพยาบาลอยู่ในสังกัด ฉะนั้นจะทำให้เป็นกลางจึงยาก เช่น สปสช.จะซื้อบริการคำนวณแล้วว่า แพคเกจ A ควรจ่ายเงินเท่านี้ แต่ผู้ให้บริการเกิดไม่พอใจราคานี้ อ้างว่าจะขาดทุน แทนที่ สธ.ควรอยู่ตรงกลางเพื่อพิจารณาว่าราคานี้สะท้อนต้นทุนจริงหรือไม่ ส่วนผู้ที่ขาดทุนต้องคำนวณว่าไม่ได้เคลมมากเกินไปหรือไม่ กลายเป็นว่าบทบาทนี้ สธ.ยังเอียง วันนี้ เราจึงเห็นแต่การถกเถียงว่าเงินไม่พอ ขาดทุน แทนที่จะมองว่าประชาชนควรได้อะไร โดยรวมแล้วผลลัพธ์สุขภาพดีขึ้นหรือไม่

-ยังเห็นปัญหาอื่นๆ อีกหรือไม่

จาก 2 ปัญหานี้ จะนำไปสู่ปัญหาย่อยอีกมาก เช่น ประสิทธิภาพ ถ้าไปดูโรงพยาบาลชุมชน จะพบว่าหลายแห่งไม่มีผู้ป่วย หรือมีน้อยมาก จะเห็นว่าอัตราการครองเตียงต่ำ เพราะประชาชนขาดความไว้วางใจที่จะเดินเข้าไปใช้บริการ ถ้าโรงพยาบาลแห่งนั้นขาดทุน ถามว่าสมควรหรือไม่ ถ้าประชาชนในพื้นที่ยังไม่วางใจเข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลแห่งนั้น นอกจากนี้ ยังมีกรณีขัดแย้งระหว่างองค์กร

-แล้วบทบาทของ สธ.ควรจะเป็นอย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการประสานงานกองทุนภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ” มี ศ.อัมมาร สยามวาลา เป็นประธาน ขณะนั้นสมัยของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อดีตรัฐมนตรีว่าการ สธ. เน้นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และในคณะกรรมการชุดนั้น มีการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการศึกษาและจัดทำข้อเสนอการพัฒนากลไกกลางเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพของรัฐ” ศึกษาวิจัยว่าควรจะมีกลไกอะไรทำให้เกิดการทำงานที่บูรณาการกันมากขึ้น ลดปัญหาเหลื่อมล้ำใน 3 กองทุนภาครัฐ ทั้ง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กรมบัญชีกลาง ซึ่งเมื่อผู้แทนจาก 3 กองทุน ได้หารือกัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการ สธ.จึงไม่เกิดการขับเคลื่อนใดๆ ทั้งนี้ จากการศึกษาเสนอว่าต้องมี “กลไกกลาง” มาทำหน้าที่

-ยกตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ

จากการทบทวนงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีกองทุนสุขภาพเพียง 1 กองทุน เช่น ญี่ปุ่นมี 3,000 กว่ากองทุน แต่ประชาชนได้สวัสดิการแบบเดียวกัน เพราะมีกลไกที่สามารถทำให้ระบบประกันตกลงกันได้ว่า ชุดสิทธิประโยชน์ที่จะต้องให้กับประชาชนทั้งหมดจะต้องหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วควรจะเป็นหน้าตาเดียวกัน ญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถึงขนาดมีการเจรจาและปรับชุดสิทธิประโยชน์ทุกปี เป็นเรื่องใหญ่มากๆ แต่ที่ญี่ปุ่นบทบาทหลักอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นของเอกชนและท้องถิ่น ญี่ปุ่นมี 3,000 กว่ากองทุนจริง แต่เวลาจ่ายเงินจะอยู่ที่กองเดียว แบบเดียว เงินจาก 3,000 กว่ากองทุน จะต้องผ่านหน่วยงานที่เป็นกลไกกลางนี้ก่อน เพื่อนำไปจ่ายให้โรงพยาบาล และจะมีคู่มือ 1 เล่ม เพื่อตรวจดูรายการให้บริการ เช่น ค่าผ่าตัดไส้ติ่ง จำนวนเท่าใด ใช้คู่มือเล่มเดียวกัน สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันถ้าเป็นผู้ป่วยในจะใช้หลักการพิจารณาตามระดับความรุนแรงของโรค (ดีอาร์จี) แต่ปัญหาคือ ยังจ่ายคนละราคา ส่วนผู้ป่วยนอกนั้น ขณะนี้ยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจึงต้องมาเจรจากัน ตกลงจะจ่ายแบบไหน ซึ่งรวมถึงการของบประมาณจากภาครัฐด้วย

-ขั้นตอนที่จะได้กลไกกลางมาทำหน้าที่

จะต้องออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งกลไกกลางนี้ให้ชัดเจน ถ้าบทบาทของ สธ.ไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ คือ ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงพยาบาล มีความเป็นกลางในการออกนโยบายจริง เราอาจจะไม่ต้องตั้งกลไกกลางนี้ เพราะ สธ.ทำเองได้ แต่ข้อเท็จจริงวันนี้ไม่ใช่ และ สธ.เองก็ไม่อยากปล่อยโรงพยาบาล อยากเป็นผู้ให้บริการ ดังนั้น ควรจะต้องมีกลไกนี้มาแก้ปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำ อาจเรียกว่าสำนัก หรือ ตั้งชื่อกลไกกลางนี้ว่าอย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต

-ได้มีการนำเสนอเรื่องนี้บ้างหรือไม่

เราได้ยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างความกลมกลืนในระบบหลักประกันสุขภาพภาครัฐ พ.ศ. …และเสนอเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว อาทิ กรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการ เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขณะนี้รอว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อ เจตนารมณ์ของข้อเสนอนี้ ไม่ได้ต้องการยุบรวมกองทุน ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ สธ.ทำอยู่ เพียงแต่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ

-โครงสร้างของกลไกกลางเป็นอย่างไร

มีผู้แทนจากฝ่ายประชาชน ผู้ให้บริการ คือ กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรงพยาบาลเอกชน โรงเรียนแพทย์ แพทย์ พยาบาล ผู้ซื้อบริการ ซึ่งหมายถึง ผู้แทนจาก 3 กองทุน กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ และอาจมีผู้ทรงคุณวุฒิ ให้คำปรึกษาในทุกด้าน และมีฝ่ายเลขานุการที่มาจากสำนักงานที่ตั้งขึ้นใหม่ สิ่งที่กรรมการจะต้องทำคือ เจรจาเรื่องชุดสิทธิประโยชน์ วิธีการจ่ายเงิน ฯลฯ โดยฝ่ายเลขานุการจะต้องอำนวยความสะดวกให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ได้เจรจากัน เมื่อการหารือตกผลึก จึงเสนอให้กรรมการชุดใหญ่พิจารณา และเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินใจ

-กองทุนสุขภาพของไทยควรเป็นแบบนี้

ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น อันนี้คือวิธีที่ง่ายและเป็นระบบมากที่สุด หรือจะใช้ ม.44 ออกเป็นคำสั่งก็ได้ รวดเร็วดี แต่จะไม่ยั่งยืน

-เราจะได้อะไรจากข้อเสนอนี้

ถ้าเจรจากันในเรื่องสิทธิประโยชน์แล้วบอกว่าชุดสิทธิประโยชน์กลางคือ สิ่งที่ทุกคนจะได้เหมือนกัน จะประกอบด้วยอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่ประชาชนจะได้ ต่อไปนี้ เดินเข้าโรงพยาบาลไม่ต้องบอกแล้วว่าคุณมาด้วยสิทธิอะไร โรงพยาบาลก็ไม่ต้องทำ 3 บัญชี ให้เวียนหัว เพราะทุกสิทธิจ่ายเงินเหมือนกัน ดังนั้นโรงพยาบาลจะรักษาตามสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นที่อย่างเท่าเทียมกัน อันนี้จะลดความเหลื่อมล้ำได้อันดับแรก ต่อไปนี้จะไม่มีความรู้สึกว่าเราต่ำต้อยกว่าอีกคน เมื่อความเหลื่อมล้ำลดลง แน่นอนว่าภาพรวมของประเทศจะต้องดีขึ้น เพราะปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นจากการที่เสียประโยชน์ และไม่มีความสุข

ถ้าสวัสดิการที่รัฐจัดให้ขจัดความรู้สึกว่าไม่มีชนชั้น สังคมจะต้องดีขึ้นแน่นอน เพราะความตึงเครียดในสังคมจะลดลง เรารู้สึกได้ ที่สำคัญงบประมาณของประเทศจะถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทุกวันนี้เราใช้ประมาณ ร้อยละ 4.6 ของจีดีพี ทำกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ต่ำกว่าหลายประเทศ ถ้าเราจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทำไมเราจะไม่ใช้เงินนั้นเพิ่ม


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อ 20 กรกฎาคม 2559 ในชื่อ วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ เสนอ’กลไกกลาง’ ลดเหลื่อมล้ำ3กองทุนสุขภาพภาครัฐ

นักวิจัย

ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม ทีดีอาร์ไอ

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด