ณภัทร ภัทรพิศาล
ฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์
ผู้มีใบขับขี่ตลอดชีพที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปต้องทดสอบสมรรถภาพความพร้อมในการขับรถอีกครั้ง กลายเป็นประเด็นถกเถียงเมื่อช่วง ส.ค. ที่ผ่านมา และกรมขนส่งออกมาปฏิเสธทันที แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นความปลอดภัยยังเป็นเรื่องน่าห่วง ซึ่งควรมีการพิจารณาทางออกเรื่องนี้ บนข้อมูลที่มีทั้งจำนวนผู้ถือใบผู้ขับขี่และอุบัติเหตุ
เดิมทีการให้ใบอนุญาตขับรถอยู่ในการกำกับดูแลของกองทะเบียน กรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน สาเหตุของการออกใบอนุญาตขับรถตลอดชีพ เพราะต้องการลดปริมาณการติดต่อราชการ ซึ่งภายหลังภารกิจดังกล่าวถูกโอนย้ายมายังกรมการขนส่งทางบกใน ปี 2531 และเปลี่ยนระบบการออกใบอนุญาตขับขี่มาเป็นดังเช่นปัจจุบัน และในปี 2546 พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2546 ได้ยกเลิกใบขับขี่ตลอดชีพ แต่ในบทเฉพาะกาลยังให้ใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพยังใช้ต่อไปได้
หากคาดการณ์ความเป็นไปได้ว่าใบขับขี่ตลอดชีพจะหมดไปเมื่อใด อาจตั้งสมมติฐานว่าผู้มีสิทธิขอรับใบขับขี่ตลอดชีพที่มีอายุน้อยที่สุด ในปี 2546 คือ 20 ปี เท่ากับว่าปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอายุ ประมาณ 36 ปี ดังนั้น ใบขับขี่ตลอดชีพจะยังอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อย 35-40 ปี
นอกจากนี้ ข้อมูลสถิติจำนวนใบขับขี่ตลอดชีพสะสมจากกรมการขนส่งทางบก พบว่ามีจำนวนใบขับขี่ตลอดชีพอยู่ประมาณ 12 ล้านใบ แต่หลังจากปี 2547 พบว่าจำนวนใบขับขี่ตลอดชีพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงเกิดคำถามว่าข้อมูลที่กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บมีการปรับปรุงข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ และจำนวนที่แท้จริงของใบขับขี่ตลอดชีพที่มีอยู่ใน ปัจจุบันมีเท่าใด
สถิติอุบัติเหตุสะท้อนปัญหาใบขับขี่ตลอดชีพในวัยผู้สูงอายุที่มาพร้อมกับโรคของผู้สูงวัย
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ อายุส่งผลต่ออัตราการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ซึ่งข้อมูลสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนโดยกรมควบคุมโรค พบว่าช่วงอายุ 15-24 ปี และช่วง 50-80 ปี มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่น
แม้สถิติดังกล่าวจะไม่ได้สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยด้านอายุมีผลต่ออัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่โครงการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบใบอนุญาตขับรถให้เหมาะสมกับประเทศไทย
มาตรการด้านการตรวจสุขภาพในการออกใบอนุญาตขับขี่ของต่างประเทศ เป็นอีกสิ่งที่ประเทศไทยควรนำมาพิจารณา เช่นในกลุ่มสหภาพยุโรป กระบวนการออกใบขับขี่ของประเทศ ส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีการตรวจสอบสมรรถภาพทางกายอีกครั้ง (Retest) เมื่อผู้ขับขี่มีอายุครบตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น สวีเดนกำหนดอายุที่ 45 ปี หลังจากนั้นต้องตรวจสอบสมรรถภาพทางกาย ในทุก 10 ปี ฝรั่งเศสกำหนดเกณฑ์อายุที่ 60 ปี และต้องตรวจสอบหลังจากนั้นในทุก 2-5 ปี
หรือกรณีออสเตรเลีย แม้รัฐจะไม่ได้กำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้แต่มีมาตรการควบคุมดูแลผู้ขับขี่ ที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป จะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการหรือมีความผิดปกติตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนดหรือไม่ และออกใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพดีพอที่จะขับขี่รถ (Fit to Drive)
วิเคราะห์ผลได้ผลเสียเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด
โจทย์ประการสำคัญที่กรมการขนส่งทางบกต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนคือ จำนวนของผู้ถือใบขับขี่ตลอดชีพ และปัญหาการมี ใบขับขี่ตลอดชีพในปัจจุบัน โดยดำเนินการทบทวนข้อมูลจำนวนใบขับขี่ ตลอดชีพที่มีอยู่จริงให้เชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง เพื่อตรวจสอบสถานะทางทะเบียนของผู้มีใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพในปัจจุบัน
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำนวนใบขับขี่ตลอดชีพมีไม่มากเมื่อเทียบกับ อัตราส่วนประชากรผู้ถือใบขับขี่และการเกิดอุบัติเหตุ ย่อมแสดงให้เห็นว่าใบขับขี่ตลอดชีพไม่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมีนัยสำคัญ และอาจไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนหรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ เพียงแต่ รอให้ใบอนุญาตเหล่านั้นหมดอายุไป
ในทางกลับกัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำนวนผู้ถือใบขับขี่ตลอดชีพ ส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รัฐจำเป็นจะต้องมีการ ทบทวนใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิของปัจเจกบุคคล โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
ดังนั้น หากรัฐมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขหรือยกเลิกเรื่องใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ รัฐต้องดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 โดยกำหนดเกณฑ์อายุที่จะยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพ และให้ผู้ถือ ใบอนุญาตขับขี่ดังกล่าวกลับมาตรวจสอบสมรรถภาพในการขับขี่หากยังต้องการขับขี่รถอีกครั้ง
หลังจากนั้นจะได้รับใบอนุญาตขับรถชนิดอายุ 5 ปีที่มีในปัจจุบันแทน ซึ่งเรื่องเกณฑ์อายุควรกำหนดให้เป็นช่วงอายุ 60-70 ปี ส่วนหลักเกณฑ์ หรือขั้นตอนในการตรวจสอบสมรรถภาพ ควรกำหนดไว้ในระเบียบหรือกฎกระทรวงสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งไม่ใช่ประเด็นใหม่และยังเป็นประเด็นที่ต้องหยิบมาพิจารณาทุกครั้งที่มีกระแสข่าว
หากสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะเป็นการลดอุบัติเหตุในการขับขี่ของผู้สูงอายุแล้ว ยังทำให้ผู้ขับขี่รถอยู่ภายใต้กรอบปฏิบัติ เดียวกัน และสร้างความมั่นใจให้กับนานาชาติได้ว่าประเทศไทยมีการจัดการ เพิ่มศักยภาพด้านการขับขี่ปลอดภัย ช่วยลบภาพจำประเทศที่ขับขี่ไม่ปลอดภัยและครองแชมป์อุบัติเหตุทางถนน
หมายเหตุเผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจเมื่อ 21 ตุลาคม 2563